กลับมาอีกครั้งกับทริปรถจักรไอน้ำของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีขึ้นเพียงปีละ 4 ครั้ง คือวันที่
26 มี.ค. วันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟ (อาจเปลี่ยนเป็นวันอื่น เพื่อให้ตรงกับวันหยุด)
28 ก.ค. วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณฯ
12 ส.ค. วันแม่แห่งชาติ
23 ต.ค. วันปิยมหาราช
5 ธ.ค. วันพ่อแห่งชาติ
ซึ่งทางการรถไฟก็จะนำรถจักรไอน้ำที่ปลดระวางไปนานแล้วมาลากขบวนรถนำเที่ยวให้ได้สัมผัสบรรยากาศเก่าๆ กันอีกครั้งค่ะ สำหรับจุดหมายปลายทางนั้นก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละรอบค่ะ มีทั้งอยุธยา นครปฐม และฉะเชิงเทรา รอบแรกของปีนี้เมื่อเดือนมีนาพาไปที่อยุธยา เราเขียนไว้แล้วที่บล็อก นั่งรถจักรไอน้ำ ย้อนวันวานที่อยุธยา ใครสนใจก็กดเข้าไปดูได้เลยนะคะ ส่วนรอบวันแม่นี้ เขาจะพาไปนครปฐมค่ะ
ตั๋วรอบนี้ยังคงแบ่งเป็นสองราคาเหมือนเดิมค่ะ คือ 990 บาท เป็นตั๋วรถไฟพร้อมทัวร์ โดยจะพาไปที่วัดไร่ขิง ตลาดน้ำดอนหวาย และพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย มีอาหารกลางวันให้พร้อมค่ะ และตั๋ว 250 บาท เป็นตั๋วรถไฟไป-กลับ สำหรับคนอยากเที่ยวเอง มีบริการอาหารเช้าและอาหารว่างทั้งขาไปและขากลับให้บนรถค่ะ
เราเลือกจองเป็นตั๋ว 250 ค่ะ โทรไปจองที่เบอร์ 1690 แล้วไปจ่ายเงินและรับตั๋วที่สถานีรถไฟใกล้บ้านภายในวันที่จองค่ะ เจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์จะแจ้งว่าสามารถไปรับตั๋วได้ถึงเมื่อไหร่ หรือใครจะไปจองที่สถานีเลยก็ได้ค่ะ ควรจองล่วงหน้านะคะ เพราะเต็มเร็วมาก สามารถไปจองหรือรับตั๋วที่สถานีไหนก็ได้ แต่ต้องไปขึ้นที่สถานีที่กำหนดเท่านั้นนะคะ ถ้าจะขึ้นกลางทางก็ถามเจ้าหน้าที่ตอนจองตั๋วเลยค่ะ ว่าสามารถขึ้นที่สถานีไหนได้บ้าง
วันเดินทาง
รถออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) 8:10 สามารถขึ้นรถไฟฟ้า MRT มาลงที่สถานีหัวลำโพงได้เลยค่ะ ส่วนเราไม่ได้อยู่กรุงเทพ ก็จองโรงแรมใกล้ๆ สถานีไว้เลย วันเดินทางจะได้ไม่ต้องกังวลมาก
รถไฟนำเที่ยวของเรายังคงอยู่ที่ชานชาลาที่ 5 เหมือนเดิมค่ะ คงเพราะมันใกล้ประตูทางเข้าที่สุด ผู้โดยสารที่อาจไม่คุ้นเคยกับการเดินทางโดยรถไฟจะได้หาง่ายๆ
ก่อนออกเดินทางก็จะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาทำพิธีเปิดทริปค่ะ คนมาถ่ายรูปกันเยอะทีเดียว ทั้งคนที่จะไปกับทริปนี้ คนที่บังเอิญผ่านมา คนที่ตั้งใจจะมาแค่ถ่ายรูป รวมถึงเจ้าหน้าที่แถวนั้นด้วยค่ะ
ตู้โดยสารที่ใช้เป็นแบบนั่งพัดลมชั้น 3 รุ่นปรับปรุงใหม่ เบาะสีน้ำเงินสดใสสบายตา (เอารูปเก่ามาหากินเหมือนเดิม)
แต่ไม่รู้ทำไมรอบนี้เบาะไม่ค่อยดีเลย พังไปซะหลายเบาะเลยแหละค่ะ มันพังแบบนั่งๆ ไปแล้วเบาะตก เหมือนมีอะไรสักอย่างที่ค้ำเบาะอยู่ข้างล่างหัก แต่ตกไม่ถึงพื้นนะคะ ตกแค่นิดเดียว แต่ก็นั่งไม่สบายค่ะ มันจะตกแค่ข้างเดียว อีกข้างยังปกติอยู่ แล้วมันก็จะกระดก
จริงๆ ฝั่งตรงข้ามเรามีคู่คุณแม่กับลูกสาวตัวน้อยนั่งด้วย ขึ้นมากลางทาง แต่เบาะฝั่งตรงข้ามเรามันตก และบังเอิญมีคนจะลงที่สถานีต่อไปพอดี เจ้าหน้าที่เลยให้ไปนั่งที่ของคนพวกนั้นแทนค่ะ เราเลยได้นั่งคนเดียวสบายๆ ตลอดทริปเลย ( ̄▽ ̄)
สำหรับคนที่ลงกลางทาง เราไม่แน่ใจว่าเขาขึ้นรถผิด หรือยอมซื้อตั๋ว 250 เพื่อมาสัมผัสบรรยากาศเฉยๆ ได้สัมผัสแล้วก็ไป รอบนี้เราเห็นชาวต่างชาติขึ้นมาด้วยหลายคนเหมือนกันค่ะ
ขึ้นมาบนรถ เจ้าหน้าที่ทัวร์จะแจกอาหารเช้าให้ค่ะ เป็นข้าวเหนียวหมูทอดโพธิ์งามพร้อมน้ำเปล่าเหมือนเดิม เขาจะแจกให้ตั้งแต่รถยังไม่ออกเลย รอบนี้เราเพิ่งกินมื้อเช้าจากโรงแรมมา เลยเก็บใส่กระเป๋าไว้เป็นมื้อกลางวันแทนค่ะ
ออกมาได้สักพัก เลยสถานีบางซื่อไปนิดหน่อย เขาก็แจกของว่างค่ะ เป็นลูกอะไรสักอย่างลอยแก้ว ไม่ใช่ลูกตาลหรือลูกชิดแน่ๆ สองอย่างนี้เรารู้จักดี แต่ลูกนี้เหมือนเป็นอะไรที่คล้ายๆ กัน แต่เราไม่เคยกินมาก่อน แต่ก็อร่อยดีนะคะ ชื่นใจดี
แล้วก็แจกลูกอมโอเล่
บนรถจะมีการเล่นเกมแจกของกันด้วยค่ะ มีแจกกันทุกทริป ส่วนใหญ่จะแจกสแตมป์อะไรสักอย่าง และจะมีเงื่อนไขการแจกแตกต่างกันออกไป รอบนี้คือจะแจกให้คนที่มากับคุณแม่ค่ะ ก็เป็นทริปวันแม่นี่เนอะ
รถไฟเจ้าคุณปู่วิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีวัดงิ้วราย คนที่ไปกับทัวร์จะลงตรงนี้ค่ะ คิดว่าคงไปสถานที่ท่องเที่ยวได้สะดวกกว่า ส่วนรถจะไปสุดเส้นทางที่สถานีนครปฐมค่ะ
รถมาถึงสถานีนครปฐมตอนเกือบ 11 โมง ตามกำหนดเวลาควรถึงตอน 10:05 เลทไปเยอะเอาเรื่องเหมือนกันค่ะ เราตั้งใจจะต่อรถหัวหินไปพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งรถจะมาถึงตอน 10:48 ซึ่งมันเลยแล้ว เราเลยลองไปถามเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เขาบอกว่ารถยังไม่ผ่านไปค่ะ และออกตั๋วให้ เป็นตั๋วฟรีค่ะ
ระหว่างรอรถก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยค่ะ
ขบวนแรกผ่านไป...
(ย้ายหัวรถจักรไอน้ำมาไว้อีกด้าน เตรียมพร้อมสำหรับตอนกลับ)
ขบวนสอง ขบวนสาม ค่อยๆ ผ่านไป
หลงผิดคิดภาคภูมิใจ ถ้าเดินคงถึงไวกว่านี้ (เหรอ?)
และระหว่างที่เขากำลังจะเริ่มเติมน้ำให้หัวรถจักรไอน้ำนั้น...
รถหัวหินมาแล้วค่ะ!!!
ขณะนั้นเวลา 11 โมงครึ่ง
(T∇T)
เราก็พุ่งขึ้นไปเลยค่ะ
รถหัวหินเป็นดีเซลรางค่ะ เป็นรถฟรี ชั้น 3
(รถดีเซลรางคือรถที่มีกำลังในตัว ไม่ต้องใช้หัวรถจักรลากค่ะ)
สภาพในรถเขรอะมาก คนเยอะมาก ห้อยโหนกันเต็มไปหมด เราก็แอบๆ อยู่แถวประตู เพราะมันแค่สถานีเดียวค่ะ
มาถึงป้ายหยุดรถพระราชวังสนามจันทร์ มันไม่ใช่สถานีนะคะ มันเป็นแค่ป้ายหยุดรถ ไม่มีที่ขายตั๋ว มีแค่ป้ายบอกสถานีกับศาลาเล็กๆ ให้นั่งรอรถเท่านั้นค่ะ
ป้ายนี้หลักๆ คือเอาไว้ให้นักศึกษา ม.ศิลปากร วิทยาเขตสนามจันทร์ ใช้ขึ้น-ลงรถกันค่ะ ม.ศิลปากร ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของพระราชวังสนามจันทร์ที่ปัจจุบันเปิดให้เข้าไปเที่ยวชมได้ และดูเหมือนจะเป็นฝั่งที่ติดรถไฟนั่นแหละค่ะ เหมือนเคยอ่านเจอว่าสามารถเดินทะลุ ม. เข้าไปวังได้ แต่บังเอิ๊ญญญญ วันนี้วันหยุดไงคะ เป็นทั้งวันเสาร์ เป็นทั้งวันแม่ ม. ปิดสิคะ ประตูก็ปิด วินมอไซค์ตรงรถไฟก็เหลือแต่ป้าย คงเพราะเป็นวันหยุด เลยไม่มีพี่วินคันไหนมารอให้บริการ
แล้ว...เอาไงดีล่ะ หันซ้ายหันขวา เดินไปมั่วๆ ก่อนละกัน เดินไปผ่านคุณป้าคนนึง เค้าถามว่าจะไปไหน เราบอกว่าจะไปวัง ป้าว่าประตูปิดหนิ ใช่ค่ะ ประตูปิด ทำไงดีคะ ป้าบอกให้เดินอ้อมไปตรงหัวมุมนู่น ไปเข้าประตูตรงนั้นแทนนะ คือมันก็ดูไกลอยู่อะค่ะ แต่ก็พอเดินได้ และไม่มีทางเลือก ก็อ้ะ เดินก็เดิน
เดินเลาะเรื่อยไปเลี้ยวตรงหัวมุม เดินต่อไปจนถึงป้ายรอรถอะไรสักอย่าง (รึเปล่า? จำไม่ค่อยได้แล้ว) ก็ยังไม่เจอประตูที่พอจะพาเข้าไปที่วังได้ แล้วอากาศก็เป็นใจซะเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เป็นหน้าฝน ช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วันนี่ฝนตกตลอด อากาศครึ้มๆ เย็นสบาย วันนี้อากาศแจ่มใส แดดแรงมาก ร้อนมาก ราวกับเดินอยู่กลางทะเลคอนกรีต เรารู้สึกว่าเราเดินมาไกลมาก จนแอบตกใจว่าเดินมาขนาดนี้ได้ไง ความคิดตอนนั้นคือเราจะตายไม่ได้ การเป็นลมตายอยู่ในพงหญ้าบนฟุตบาทเพราะหาเรื่องใส่ตัวเองเป็นอะไรที่เสียศักดิ์ศรีมาก
เดินไปเรื่อยๆ จนถึงหัวมุมถนนตรงแยกไฟแดง พระเจ้ายังไม่โหดร้ายกับเราเกินไปนัก มีพี่วินผ่านมาค่ะ นางหันมาสบตาเรา เราก็สบตานางกลับไปแบบช่วยเราด้วย นางก็ขับไปจอดรอรับเราค่ะ รอดตายแล้ว! (T∇T)
ปกติเราไม่ชอบนั่งวินค่ะ เรากลัว กลัวความเร็ว กลัวความกระชาก กลัวหงายหลังลงไปหัวฟาดพื้น ประมาณว่าถ้าไม่อับจนหนทางจริงๆ จะไม่ขึ้นเด็ดขาดอะค่ะ (T-T)
สุดท้ายก็ซ้อนพี่วินมาถึงวังโดยสวัสดิภาพค่ะ ค่ารถ 20 บาท มันดูไม่ไกลมาก แต่ก็เดินไม่ไหวแน่ๆ อะ ระหว่างทางก็คุยกับพี่วินไปด้วยว่าเป็นไงมาไงถึงมาเดินท่อมๆ อยู่ริมถนนอย่างงี้ พี่วินก็แนะนำว่าถ้าจะกลับก็เดินไปเรียกรถที่หน้าปากซอยนะ หน้าปากซอยจะมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ค่ะ วังไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ มันจะมีซอยเข้ามา แต่เดินได้ค่ะ ไม่ไกลเท่าไหร่
โอเคค่ะ จบเรื่องการเดินทางจากสถานีนครปฐมไปพระราชวังสนามจันทร์
ทุกคนคะ โปรดจำไว้ อย่าทำตามเรา ถ้าจะไปพระราชวังสนามจันทร์จากสถานีรถไฟนครปฐม พี่วินโลดค่ะ d( ̄▽ ̄;)
เรามาถึงพระราชวังสนามจันทร์ตอนเที่ยงพอดีเลยค่ะ ระหว่างรอคิวซื้อตั๋วเข้าวังก็ส่องน้องไก่เล่นไปก่อนค่ะ ที่วังเลี้ยงไก่แจ้ไว้เยอะทีเดียว ตัวกระปุ๊กลุก เดินดุ๊กๆ ไปทั่ววัง น่ารักเชียวค่ะ
ได้ตั๋วแล้วค่ะ ตั๋วนี่ต้องเก็บไว้ดีๆ นะคะ เวลาเข้าชมภายในพระตำหนักต่างๆ เขาจะขอดูตั๋วค่ะ
ทุกคนคะ โปรดจำไว้ อย่าทำตามเรา ถ้าจะไปพระราชวังสนามจันทร์จากสถานีรถไฟนครปฐม พี่วินโลดค่ะ d( ̄▽ ̄;)
เรามาถึงพระราชวังสนามจันทร์ตอนเที่ยงพอดีเลยค่ะ ระหว่างรอคิวซื้อตั๋วเข้าวังก็ส่องน้องไก่เล่นไปก่อนค่ะ ที่วังเลี้ยงไก่แจ้ไว้เยอะทีเดียว ตัวกระปุ๊กลุก เดินดุ๊กๆ ไปทั่ววัง น่ารักเชียวค่ะ
ได้ตั๋วแล้วค่ะ ตั๋วนี่ต้องเก็บไว้ดีๆ นะคะ เวลาเข้าชมภายในพระตำหนักต่างๆ เขาจะขอดูตั๋วค่ะ
ราคาตั๋ว
ชาวต่างชาติ 50 บาท
คนไทย (ผู้ใหญ่) 30 บาท
คนไทย (เด็ก นักเรียน นักศึกษา พระภิกษุ สามเณร) 10 บาท
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 9:00 ถึง 16:00 ค่ะ
ระเบียบการแต่งกาย
(เข้าวัดเข้าวังมักจะมีระเบียบการแต่งกายเสมอค่ะ)
ผู้ชาย สวมเสื้อมีแขน กางเกงขายาว
ผู้หญิง สวมเสื้อมีแขน กางเกงขายาว หรือกระโปรงคลุมเข่า
**ห้าม ใส่พวกเสื้อไม่มีแขนทั้งหลาย (แขนกุด, เสื้อกล้าม, สายเดี่ยว, เกาะอก) เสื้อเอวลอย เสื้อเว้าแหว่ง เสื้อผ้าเนื้อโปร่งบาง กางเกงขาสั้น กางเกงขาด กางเกงรัดรูป กระโปรงสั้นเหนือเข่า
หรือถ้าใครแต่งกายผิดระเบียบมา เขาก็มีผ้าป้ายและผ้าคลุมไหล่ให้ค่ะ
ผ้าป้าย ผืนละ 70 บาท
ผ้าคลุมไหล่ ผืนละ 60 บาท
ราคานี้ไม่แน่ใจว่าขายขาดเลยรึเปล่านะคะ เพราะถ้าให้เช่ามันน่าจะถูกกว่านี้รึเปล่า
เดินเข้าประตูมา ที่นี่มีรถกอล์ฟให้เช่าขับเองด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่น่าจะหลายอยู่ น่าจะชั่วโมงละ 200 - 400 ได้ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่คิดว่าราคาน่าจะอยู่ในช่วงนี้แหละค่ะ
ถ่ายรูปแผนที่ภายในวังเก็บเอาไว้เผื่อหลงทาง เพิ่งรู้ว่ามีทางเข้าตั้งแต่ตรงพระปฐมเจดีย์ ซึ่งอยู่ตรงสถานีรถไฟ แต่ตอนขากลับที่เรานั่งพี่วินไปพระปฐมเจดีย์ มันก็ไกลเอาเรื่องอยู่นะคะ ดูไม่น่าเดินไหวอะ ( ̄▽ ̄;)
สพานสุนทรถวาย เป็นสะพานข้ามคลองเล็กๆ(?)ในวัง เหมือนจะให้อาหารปลาได้ด้วย เราเห็นมีตู้ขายอาหารปลาหยอดเหรียญอยู่ใกล้ๆ ด้วยค่ะ
เดินเลยเข้ามาอีกหน่อยก็จะเจอโอเอซิส ( ̄▽ ̄)
จริงๆ คือร้านค้าค่ะ มีน้ำ มีขนม มีมาม่าพร้อมน้ำร้อน มีไอติมขาย มีห้องน้ำ มีที่ให้นั่ง ติดแอร์ด้วย หลังจากที่ผ่านอะไรๆ มามากมาย มันเลยเหมือนโอเอซิสสำหรับเราค่ะ ( ̄▽ ̄)
เราก็แวะเข้าห้องน้ำ นั่งพัก ตากแอร์ กะว่าจะปักหลักกินข้าวเหนียวหมูทอดมื้อกลางวันที่นี่แหละค่ะ แต่จะให้มานั่งแช่แอร์เขาฟรีๆ ก็กระไรอยู่ เลยสั่งชามะนาวมาแก้วนึงค่ะ จำราคาไม่ได้แล้ว แต่คิดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 30 - 50 บาท ใช้ชาสีส้มๆ แบบชาตราแพะชงค่ะ
นั่งพักจนหายเหนื่อยหายร้อนแล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินเที่ยววังค่ะ
เริ่มต้นกันที่พระที่นั่งพิมานปฐม ที่เชื่อมต่อกับพระที่นั่งอภิรมย์ฤดี และพระที่นั่งวัชรีรมยา ทั้งสามพระที่นั่งนี้จะมีทางเดินเชื่อมถึงกัน ตอนเข้าชมก็เข้าชมทีเดียวทั้งสามพระที่นั่งนี่แหละค่ะ
ก่อนเข้าต้องถอดรองเท้า เก็บของ กล้อง มือถือ ไว้ในล็อคเกอร์ให้เรียบร้อยก่อนนะคะ เพราะข้างในห้ามถ่ายรูป เจ้าหน้าที่จะขอดูตั๋ว ฉีกตั๋วไปครึ่งนึง (น่าจะเป็นกรณีที่เข้าที่นี่เป็นที่แรก) แล้วปั๊มชื่อพระที่นั่งไว้ด้านหลังตั๋ว หลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่พาชมเป็นรอบๆ ค่ะ ภายในจะเป็นห้องต่างๆ ที่รัชกาลที่ 6 เคยใช้เป็นที่ประทับ และมีการจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ค่ะ
และเนื่องจากเราไปช่วงวันแม่ ข้างในจึงจัดห้องให้ผู้เข้าชมได้ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้วยค่ะ
พระที่นั่งพิมานปฐม
พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี
ช่วงที่ดูโปร่งๆ นั่นหละค่ะ คือทางเดินเชื่อมกับพระที่นั่งพิมานปฐม
พระที่นั่งวัชรีรมยา
ตรงทางเดินแบบเปิดโล่งสีเขียวๆ นั่นคือทางเชื่อมกับพระที่นั่งพิมานปฐมค่ะ
พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ อยู่ติดกับพระที่นั่งวัชรีรมยา รัชกาลที่ 6 ทรงใช้จัดงานต่างๆ เพราะกว้างขวาง จุคนได้เยอะค่ะ
เทวาลัยคเณศร์
เป็นที่ประดิษฐานพระพิฆเนศ ตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของพระราชวัง หากมองจากพระที่นั่งพิมานปฐม จะเห็นเทวาลัยคเณศร์และพระปฐมเจดีย์อยู่ในแนวเดียวกัน และหากสังเกตดีๆ ในรูปนี้ก็มีพระปฐมเจดีย์ซ่อนอยู่ด้วยเช่นกันค่ะ ( ̄▽ ̄)
ต่อด้วยพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ที่แสนสะดุดตา ด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูเหมือนปราสาทในยุโรปสมัยก่อน
ด้านหน้าพระตำหนัก มีอนุสาวรีย์ย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยงของรัชกาลที่ 6
ชื่อ "ย่าเหล" มาจากชื่อตัวละคร เอมิล ยาร์เลต์ (Emile Jarlet) ในบทละครฝรั่งเศสเรื่อง My friend Jarlet ค่ะ
ภายในเปิดให้เข้าชมได้ โดยต้องถอดรองเท้าใส่ถุงที่เขาเตรียมไว้ให้ และถือไปด้วย เจ้าหน้าที่จะขอตั๋วไปปั๊มชื่อพระตำหนักไว้ที่ด้านหลัง จากนั้นก็เดินดูได้เลยค่ะ
สำหรับพระตำหนักนี้ก็ห้ามถ่ายรูปเช่นกันค่ะ ภายในจะจัดแสดงห้องสำหรับใช้สอยต่างๆ และนิทรรศการเกี่ยวกับรัชกาลที่ 6 ค่ะ
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์จะเชื่อมต่อกับพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ โดยมีทางเชื่อมที่เป็นเหมือนสะพานข้ามน้ำแบบนี้ค่ะ
พอดูเสร็จ เราก็ออกมาทางพระตำหนักมารีราชรัตบังลังก์เลย แล้วก็คืนถุงรองเท้าที่ประตูฝั่งนี้นี่แหละค่ะ
พระตำหนักทับขวัญ
ดูน่าสนใจมาก เหมือนจะมีคนเข้าชมเยอะด้วย อาจเป็นเพราะคุ้นชื่อ และอยู่ใกล้ทางเข้าที่สุด คนจึงสังเกตเห็นเป็นที่แรก แต่เสียดายที่เราไม่ได้เข้าไปดูค่ะ เพราะเวลาหมดซะแล้ว
เรากลับไปที่โอเอซิสอีกครั้งเพื่อพักร้อน เข้าห้องน้ำ และกินไอติมตามธรรมเนียมค่ะ เหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมของเราไปแล้ว ที่จะต้องกินไอติมหลังเที่ยวชมวัด วัง หรือสถานที่ทำนองนี้ ( ̄▽ ̄)
รอบนี้เป็นไอติมมังคุดค่ะ สี กลิ่น รส น่ารักกว่าที่คิด รสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ กินหลังเดินเที่ยวร้อนๆ เหนื่อยๆ แล้วสดชื่นดีค่ะ
นั่งพักจนหายเหนื่อย ก็เดินออกไปขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่หน้าปากซอยไปลงที่พระปฐมเจดีย์ค่ะ รอบนี้เหมือนเขาจะเรียกค่ารถ 40 บาทมั้งคะ ไม่รู้ถูกหรือแพง แต่รู้สึกตงิดๆ แปลกๆ เราก็ไม่ได้ดูป้ายตรงวินด้วย ว่ามีราคาบอกไว้รึเปล่า ระยะทางมันก็ไกลระดับนึงนะคะ เราเดินไม่ไหวแน่ แต่แบบ 40 เลยหรอ
กลับมาที่พระปฐมเจดีย์กันอีกครั้ง หลังจากมาเยือนครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาปีก่อน
เดินเข้าประตูมา ที่นี่มีรถกอล์ฟให้เช่าขับเองด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่น่าจะหลายอยู่ น่าจะชั่วโมงละ 200 - 400 ได้ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่คิดว่าราคาน่าจะอยู่ในช่วงนี้แหละค่ะ
ถ่ายรูปแผนที่ภายในวังเก็บเอาไว้เผื่อหลงทาง เพิ่งรู้ว่ามีทางเข้าตั้งแต่ตรงพระปฐมเจดีย์ ซึ่งอยู่ตรงสถานีรถไฟ แต่ตอนขากลับที่เรานั่งพี่วินไปพระปฐมเจดีย์ มันก็ไกลเอาเรื่องอยู่นะคะ ดูไม่น่าเดินไหวอะ ( ̄▽ ̄;)
สพานสุนทรถวาย เป็นสะพานข้ามคลองเล็กๆ(?)ในวัง เหมือนจะให้อาหารปลาได้ด้วย เราเห็นมีตู้ขายอาหารปลาหยอดเหรียญอยู่ใกล้ๆ ด้วยค่ะ
เดินเลยเข้ามาอีกหน่อยก็จะเจอโอเอซิส ( ̄▽ ̄)
จริงๆ คือร้านค้าค่ะ มีน้ำ มีขนม มีมาม่าพร้อมน้ำร้อน มีไอติมขาย มีห้องน้ำ มีที่ให้นั่ง ติดแอร์ด้วย หลังจากที่ผ่านอะไรๆ มามากมาย มันเลยเหมือนโอเอซิสสำหรับเราค่ะ ( ̄▽ ̄)
เราก็แวะเข้าห้องน้ำ นั่งพัก ตากแอร์ กะว่าจะปักหลักกินข้าวเหนียวหมูทอดมื้อกลางวันที่นี่แหละค่ะ แต่จะให้มานั่งแช่แอร์เขาฟรีๆ ก็กระไรอยู่ เลยสั่งชามะนาวมาแก้วนึงค่ะ จำราคาไม่ได้แล้ว แต่คิดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 30 - 50 บาท ใช้ชาสีส้มๆ แบบชาตราแพะชงค่ะ
นั่งพักจนหายเหนื่อยหายร้อนแล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินเที่ยววังค่ะ
เริ่มต้นกันที่พระที่นั่งพิมานปฐม ที่เชื่อมต่อกับพระที่นั่งอภิรมย์ฤดี และพระที่นั่งวัชรีรมยา ทั้งสามพระที่นั่งนี้จะมีทางเดินเชื่อมถึงกัน ตอนเข้าชมก็เข้าชมทีเดียวทั้งสามพระที่นั่งนี่แหละค่ะ
ก่อนเข้าต้องถอดรองเท้า เก็บของ กล้อง มือถือ ไว้ในล็อคเกอร์ให้เรียบร้อยก่อนนะคะ เพราะข้างในห้ามถ่ายรูป เจ้าหน้าที่จะขอดูตั๋ว ฉีกตั๋วไปครึ่งนึง (น่าจะเป็นกรณีที่เข้าที่นี่เป็นที่แรก) แล้วปั๊มชื่อพระที่นั่งไว้ด้านหลังตั๋ว หลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่พาชมเป็นรอบๆ ค่ะ ภายในจะเป็นห้องต่างๆ ที่รัชกาลที่ 6 เคยใช้เป็นที่ประทับ และมีการจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ค่ะ
และเนื่องจากเราไปช่วงวันแม่ ข้างในจึงจัดห้องให้ผู้เข้าชมได้ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้วยค่ะ
พระที่นั่งพิมานปฐม
พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี
ช่วงที่ดูโปร่งๆ นั่นหละค่ะ คือทางเดินเชื่อมกับพระที่นั่งพิมานปฐม
พระที่นั่งวัชรีรมยา
ตรงทางเดินแบบเปิดโล่งสีเขียวๆ นั่นคือทางเชื่อมกับพระที่นั่งพิมานปฐมค่ะ
พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ อยู่ติดกับพระที่นั่งวัชรีรมยา รัชกาลที่ 6 ทรงใช้จัดงานต่างๆ เพราะกว้างขวาง จุคนได้เยอะค่ะ
เทวาลัยคเณศร์
เป็นที่ประดิษฐานพระพิฆเนศ ตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของพระราชวัง หากมองจากพระที่นั่งพิมานปฐม จะเห็นเทวาลัยคเณศร์และพระปฐมเจดีย์อยู่ในแนวเดียวกัน และหากสังเกตดีๆ ในรูปนี้ก็มีพระปฐมเจดีย์ซ่อนอยู่ด้วยเช่นกันค่ะ ( ̄▽ ̄)
ต่อด้วยพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ที่แสนสะดุดตา ด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูเหมือนปราสาทในยุโรปสมัยก่อน
ด้านหน้าพระตำหนัก มีอนุสาวรีย์ย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยงของรัชกาลที่ 6
ชื่อ "ย่าเหล" มาจากชื่อตัวละคร เอมิล ยาร์เลต์ (Emile Jarlet) ในบทละครฝรั่งเศสเรื่อง My friend Jarlet ค่ะ
ภายในเปิดให้เข้าชมได้ โดยต้องถอดรองเท้าใส่ถุงที่เขาเตรียมไว้ให้ และถือไปด้วย เจ้าหน้าที่จะขอตั๋วไปปั๊มชื่อพระตำหนักไว้ที่ด้านหลัง จากนั้นก็เดินดูได้เลยค่ะ
สำหรับพระตำหนักนี้ก็ห้ามถ่ายรูปเช่นกันค่ะ ภายในจะจัดแสดงห้องสำหรับใช้สอยต่างๆ และนิทรรศการเกี่ยวกับรัชกาลที่ 6 ค่ะ
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์จะเชื่อมต่อกับพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ โดยมีทางเชื่อมที่เป็นเหมือนสะพานข้ามน้ำแบบนี้ค่ะ
พอดูเสร็จ เราก็ออกมาทางพระตำหนักมารีราชรัตบังลังก์เลย แล้วก็คืนถุงรองเท้าที่ประตูฝั่งนี้นี่แหละค่ะ
พระตำหนักทับขวัญ
ดูน่าสนใจมาก เหมือนจะมีคนเข้าชมเยอะด้วย อาจเป็นเพราะคุ้นชื่อ และอยู่ใกล้ทางเข้าที่สุด คนจึงสังเกตเห็นเป็นที่แรก แต่เสียดายที่เราไม่ได้เข้าไปดูค่ะ เพราะเวลาหมดซะแล้ว
เรากลับไปที่โอเอซิสอีกครั้งเพื่อพักร้อน เข้าห้องน้ำ และกินไอติมตามธรรมเนียมค่ะ เหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมของเราไปแล้ว ที่จะต้องกินไอติมหลังเที่ยวชมวัด วัง หรือสถานที่ทำนองนี้ ( ̄▽ ̄)
รอบนี้เป็นไอติมมังคุดค่ะ สี กลิ่น รส น่ารักกว่าที่คิด รสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ กินหลังเดินเที่ยวร้อนๆ เหนื่อยๆ แล้วสดชื่นดีค่ะ
นั่งพักจนหายเหนื่อย ก็เดินออกไปขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่หน้าปากซอยไปลงที่พระปฐมเจดีย์ค่ะ รอบนี้เหมือนเขาจะเรียกค่ารถ 40 บาทมั้งคะ ไม่รู้ถูกหรือแพง แต่รู้สึกตงิดๆ แปลกๆ เราก็ไม่ได้ดูป้ายตรงวินด้วย ว่ามีราคาบอกไว้รึเปล่า ระยะทางมันก็ไกลระดับนึงนะคะ เราเดินไม่ไหวแน่ แต่แบบ 40 เลยหรอ
กลับมาที่พระปฐมเจดีย์กันอีกครั้ง หลังจากมาเยือนครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาปีก่อน
รอบนี้พอมีเวลาเดินดูรอบๆ ค่ะ แต่ก็ไม่รอบเท่าไหร่หรอก ถึงครึ่งรอบรึเปล่าก็ไม่รู้ ( ̄▽ ̄;)ゞ
ศาลเจ้าพ่อปราสาททอง
พระแม่อุมา มหาเทวี
ดูเสร็จก็กลับขึ้นข้างบนค่ะ
มีบางอย่างที่เราคาใจอยู่ตั้งแต่ก่อนลงไปดูข้างล่างแล้ว และนั่นก็คือซุ้มทำบุญเทียนดอกบัวค่ะ ( ̄▽ ̄)
และแล้วเราก็พ่ายแพ้ให้กับความแฟนซีของไอเท่มบุญอีกครั้ง ซุ้มทำบุญระฆังเงิน - ระฆังทองยังมีอยู่นะคะ แต่เราทำไปแล้ว เราจะไม่ทำอีก แต่สุดท้ายก็เจอของน่าสนใจอีกจนได้
นี่คุณเห็นคนเกิดวันศุกร์เป็นพวกสมาธิสั้นเหรอคะ ทำไมให้สวดเยอะกว่าเขาเลย ตั้ง 21 จบแน่ะ (T∇T) คือจะให้ฝึกสมาธิใช่มั้ยคะ นี่ก็ท่องแบบครบยังว้า เกินยังว้า เทียนจะโดนลมพัดดับมั้ยว้า ไฟจะกินไส้เทียนหมดมั้ยว้า จะนับนิ้วไปด้วยก็อายเค้า จะนับในใจก็ไม่รู้ว่าจะทำให้บทสวดเพี้ยนมั้ย (T∇T) สุดท้ายก็ท่องไปเรื่อยๆ จนคิดว่าน่าจะครบ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าครบรึเปล่า (T∇T)
เสร็จก็เดินกลับสถานีรถไฟค่ะ ใกล้ได้เวลากลับแล้ว รถจะออกตอน 16:20 แต่เขานัดเจอตอนสี่โมงตรง คิดว่าคงเผื่อเลทน่ะค่ะ ( ̄▽ ̄)
ลาก่อนพระปฐมเจดีย์
มาถึงสถานีรถไฟก็แวะซื้อน้ำที่ร้านค้าซะก่อนค่ะ เผื่อเขาไม่มีน้ำเปล่าบรรจุขวดแจก เผื่อที่ทดลองทิ้งไว้บนรถไม่อยู่แล้ว แต่ปรากฏว่ารอบนี้อยู่ค่ะ รอบที่แล้วที่อยุธยา เราทิ้งน้ำขวดที่ยังไม่ได้เปิดไว้บนเบาะ พอรถจอดก็มีพวกเก็บขยะขึ้นไปเก็บมาหมดเลย รอบนี้เราเลยลองวางไว้บนที่เก็บของเหนือที่นั่งดู แต่เท่าที่สังเกต เหมือนที่นี่จะไม่มีคนเก็บขยะแบบนั้นขึ้นไปนะคะ
รถไฟออกจากนครปฐมตามเวลา หยุดรับคณะทัวร์ที่สถานีวัดงิ้วราย แล้วก็แจกอาหารว่างขากลับค่ะ
รอบนี้เป็นชิฟฟ่อนมะพร้าวน้ำหอมกับน้ำเขียวชงใส่น้ำแข็งค่ะ
ชิฟฟ่อนอร่อยมากค่ะ หอม นุ่ม แทบละลายในปาก รสมะพร้าวมีเนื้อมะพร้าวอ่อนด้วย หอมมะพร้าว รสหวานมันอ่อนๆ กลมกล่อมกำลังดี เราคิดว่ารสมะพร้าวน่าจะอร่อยสุดแล้วค่ะ ปกติเขาจะแจกแค่ชิ้นเดียว แต่ดูเหมือนขนมจะเหลือเยอะ เขาเลยแจกอีกรอบ ใครอยากกินอีกก็หยิบ เราเลยลองหยิบรสสตรอเบอร์รี่มา และพบว่าไม่อร่อยเท่าค่ะ
และ...สำหรับคนที่อยากรู้ว่าห้องน้ำบนรถไฟเป็นอย่างไร ฮ่าๆๆ
ไม่แน่ใจว่ามีห้องน้ำทุกตู้รึเปล่านะคะ เรานั่งท้ายตู้ จะเป็นพื้นที่เปิด มีอ่างล้างมือกับกระจกให้ 2 ชุด 2 มุมแบบนี้
ส่วนห้องน้ำจะอยู่ส่วนหัวของอีกตู้นึงค่ะ
นี่คือประตูด้านใน
เช็คที่ล็อคดีๆ นะคะ บางทีมันอาจจะไม่ค่อยดี และอาจจะมีมีที่คล้องอยู่ข้างบนเป็นตัวเลือกให้ด้วย แนะนำให้ใช้ที่คล้องดีกว่าค่ะ เราไม่ทันสังเกตเลยล็อคกลอน นึกว่าจะโดนขังอยู่ในห้องน้ำรถไฟซะแล้ว (T^T)
ส้วมเป็นแบบนี้ มีทิชชู่ให้ ที่กดน้ำอยู่ข้างๆ ส่วนสายฉีดชำระนั้น...อืมมม มันเป็นดีไซน์หรือมันยังไง ( ̄▽ ̄;)
มีอ่างล้างมือ ไม่ได้ลองใช้ แต่เห็นมีหยดน้ำเกาะอยู่ น่าจะใช้ได้ดีอยู่ค่ะ
จริงๆ คือที่เข้าไปเนี่ย ไม่ได้ใช้เลยค่ะ เข้าไปดูเพราะอยากรู้เฉยๆ ฮ่าๆๆ
19:07 กลับถึงสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยสวัสดิภาพค่ะ เลทไปเกือบชั่วโมงเหมือนกัน เพราะเวลาถึงตามกำหนดการคือ 18:15 ค่ะ
บรรยากาศสุดยอดมากค่ะ อยากจะตัดต่อเปลี่ยนถุงพลาสติกในมือคุณลุงคนนั้นเป็นชะลอมจริงๆ แต่ติดที่ทำไม่เป็น ( ̄▽ ̄)
ที่สถานีมีกิจกรรมจุดเทียนถวายพระพรพระราชินี ในรัชกาลที่ 9 ด้วยค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่ไหวแล้ว จำเป็นต้องเข้าห้องน้ำสุดๆ แต่ไม่อยากเข้าที่สถานี เลยกลับไปเข้าที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ กัน แต่ถึงจะอยู่ใกล้ กว่าจะเสร็จธุระกลับมาอีกครั้ง เขาก็คงจุดกันเสร็จแล้วหละค่ะ เลยไม่ได้ร่วมจุดด้วยเลย (;_;)
ส่วนทริปนี้ก็จบลงแค่นี้แหละค่ะ
ขอบคุณที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้
( ̄▽ ̄)
อ่ะ แถม
หลังจากกลับจากเที่ยว เราก็ออกมาหาข้าวเย็นกินใกล้ๆ ค่ะ (จริงๆ ที่โรงแรมก็มีห้องอาหาร แต่ไม่กิน ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ( ̄▽ ̄;))
เรามากินที่ร้านลาภปาก ตั้งอยู่ใกล้ๆ ทางออกที่ 3 ของ MRT หัวลำโพงค่ะ ร้านตกแต่งน่ารัก สวยงาม สะดุดตา สังเกตเห็นได้ไม่ยากค่ะ
บรรยากาศในร้านก็ประมาณนี้ค่ะ ดูอบอุ่น เชื้อเชิญ เสียดายไม่ได้ถ่ายข้างนอกมา
เราสั่งข้าวผัดปลาทูหนังไก่กรอบมากินค่ะ จานละ 99 บาท เราว่ามันแปลกดี และอร่อยด้วยค่ะ
คราวนี้จบจริงๆ แล้วค่ะ
( ̄▽ ̄)