วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

วิธีลบรูป Back up ใน Google Photos โดยที่รูปในเครื่องยังอยู่


สวัสดีค่ะ เอนทรี่นี้จะเป็นเรื่องของการลบรูปที่แบ็คอัพไว้ใน Google Photos ค่ะ


เรื่องเกิดจากเราซื้อมือถือใหม่ แล้วมันไม่มีแอปอัลบั้มแล้ว ให้ใช้ Google Photos แทน ด้วยความที่ไม่เคยใช้ และการ Set up มือถือแบบลวกๆ ทำให้เราเผลอเปิดแบ็คอัพอัตโนมัติไว้ ผลคือมันแบ็คอัพรูปทุกรูปใน Micro SD Card ของเรา จนที่เก็บข้อมูลในคลาวด์ของ Google เต็ม จนมันแจ้งมาว่าหลังจากนี้จะไม่สามารถรับอีเมล์ได้อีก


ใช่ค่ะ คลาวด์ของ Google ใช้เก็บข้อมูลทุกอย่างบนแอคเคาท์ Google ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google Drive, ไปจนถึง Google Photos แล้วพอมันเต็ม มันก็จะให้เราจ่ายรายเดือนเพื่อซื้อพื้นที่เก็บเพิ่ม ซึ่งเราไม่ได้ต้องการ เพราะเราเก็บรูปใน Micro SD Card ส่วน Gmail กับ Google Drive ก็ไม่ได้ใช้พื้นที่จัดเก็บมากขนาดนั้น


ตอนแรกก็สังหรณ์​ใจว่าถ้าลบรูปที่แบ็คอัพใน Google​ Photos แล้ว รูปจะหายไปจากเครื่องด้วย พอลองลบดูก็ปรากฏว่าหายจริงค่ะ แต่ข้อดีคือมันจะไปอยู่ในถังขยะก่อน 30 หรือ 60 วันนี่แหละ ซึ่งระหว่างนั้นเราจะยังกู้คืนได้


เราลองเสิร์ชหาวิธีใน Google แต่ก็ยังไม่เจอคำตอบที่น่าพอใจ เลยกดเองเล่นๆ แล้วบังเอิญว่าสำเร็จ และนี่คือวิธีของเราค่ะ


เราจะใช้ 2 แอปควบคู่กัน คือ Google Photos กับ Google Files ค่ะ




เริ่มแรก ให้ปิดการแบ็คอัพอัตโนมัติของ Photos ซะก่อน โดยการกดที่โปรไฟล์ของเราที่มุมบนขวา เครื่องแต่ละรุ่นอาจมีการแสดงผลที่แตกต่างกัน แต่ก็จะมีหน้าตาแบบตรงกลมๆ เขียวๆ นั่นแหละค่ะ ถ้าใครใส่รูปโปรไฟล์มันก็จะเป็นรูปที่คุณใช้ค่ะ



รูปที่ได้รับการแบ็คอัพจะมีรูปก้อนเมฆพร้อมเครื่องหมายถูกที่มุมล่างขวา



กดตรง "การสำรองข้อมูล"




แล้วปิดการสำรองข้อมูล





จากนั้นก็ไปลบรูปค่ะ ลบในแอป Google Photos​ นะคะ






เมื่อเปิด Google Files จะพบว่ารูปที่เราลบหายไปจาก Micro SD Card ซึ่งเป็นที่ที่เราเก็บมันไว้ด้วยค่ะ




กลับไปที่หน้าแรกของ Google Files แล้วกดตรงสามขีดที่มุมซ้ายบน ตำแหน่งและสัญลักษณ์​อาจแตกต่างกันไปตามรุ่นของโทรศัพท์ แต่ลักษณะจะไม่หนีกันมากค่ะ




เลือก "ถังขยะ"




เลือกที่มาของไฟล์ที่ลบ ของเรามาจาก SD Card




เลือกรูปที่ต้องการกู้คืน




กด "คืนค่า"






แล้วเราก็จะได้รูปของเรากลับมาค่ะ




สังเกตว่ารูปก้อนเมฆพร้อมเครื่องหมายถูกได้หายไปจากรูปที่เราลบและกู้คืนมาแล้ว นั่นหมายความว่ารูปนี้ได้ถูกลบออกไปจากคลาวด์แล้วค่ะ


ถ้าลบทีเดียวหลายรูป แนะนำให้รอไปสักพักใหญ่ๆ เลยนะคะ สักชั่วโมงนึงเลยก็ได้ แล้วค่อยกู้คืน ไม่งั้นรูปจะยังไม่ถูกลบออกไปจากคลาวด์ค่ะ








วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

บันทึกการเดินทาง ::: เที่ยวเกาะล้านคนเดียว 2 วัน 1 คืน DAY 2 (END)


สวัสดีค่ะ นี่คือบันทึกการเดินทางทริปเกาะล้านวันที่ 2 ของเราค่ะ

ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านของวันที่ 1 และอยากอ่านของวันที่ 1 ก่อน เชิญทางนี้เลยค่ะ



เราตื่นประมาณเกือบๆ 7 โมงเช้า ออกไปดูทะเลตรงระเบียง พบว่ามีคนออกมาเล่นน้ำกันพอสมควร เราเลยลงไปเดินเล่นดูทะเลยามเช้า และถ่ายรูปเล่นค่ะ

ดูเหมือนหาดตาแหวนจะไม่ได้หันหน้าเข้าหาทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกโดยตรง เวลาดวงอาทิตย์​ขึ้นหรือตก เราเลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์โผล่ขึ้นลงตรงน้ำค่ะ อย่างตอนขึ้น ก็จะเห็นตอนโผล่พ้นทิวเขามาแล้วเท่านั้น


แดดตอน 7 โมงเช้ายังอ่อนอยู่ ยังไม่ร้อน ไม่แรง และดีต่อสุขภาพค่ะ เราถ่ายรูปเล่นอยู่พักนึงก็กลับขึ้นห้องไปเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำลงมาเล่นน้ำ ทิ้งสมบัติทุกอย่างไว้ที่ห้อง เลยไม่มีการถ่ายรูปใดๆ ในช่วงนี้ค่ะ


น้ำทะเลตอน 7 โมงเช้าเย็นสบายกำลังดี ไม่หนาว หรือเพราะมันเป็นช่วงหน้าร้อนปีเอลนินโญ่​ด้วยก็ไม่รู้


น้ำที่หาดตาแหวนไม่ค่อยลึก เดินไปไกลแล้วก็ยังไม่ลึก แต่เรายังไปไม่ถึงจุดที่ลึก มันไกล และเราไม่อยากเสี่ยง เพราะเราก็ว่ายน้ำไม่เป็นด้วย แต่ดูจากคนอื่นที่ไปเล่นตรงนั้นมันก็ดูลึกอยู่ แต่ก็ยังอยู่ในเขตทุ่นนะคะ


หาดตาแหวนตอน 7 โมงเช้ายังคงสงบ คนที่มาเล่นน้ำน่าจะมีแค่คนที่พักอยู่แถวๆ หาด ส่วนใหญ่เป็นคนไทย และมากันเป็นครอบครัว เล่นกันเงียบๆ เสียงไม่ดังวุ่นวาย ใครจะถ่ายรูปก็ถ่ายได้ อาจจะติดคนบ้าง แต่จะไม่ติดจนเสียบรรยากาศ​


เราเล่นน้ำอยู่จนถึงประมาณ 8 โมง ก็กลับขึ้นห้องไปอาบน้ำ แต่เกิดอยากเล่นมือถือขึ้นมาซะก่อน ตัวก็เปียก เลยออกไปนั่งเล่นที่เปลตรงระเบียง โอเค รู้ละว่าเปลนี้เอาไว้ใช้ในสถานการณ์ไหน



เวลาอาหารเช้าของที่พักจะอยู่ในช่วง 8 โมงเช้า ถึง 10 โมงเช้า เราลงไปประมาณ 9 โมงครึ่ง ยื่นบัตรอาหารเช้าให้ พนักงานจะเข้าครัวไปเตรียมอาหารเช้าจานหลักให้ ประกอบด้วยไข่ดาว 2 ฟอง ไส้กรอก 2 ชิ้น และผักสลัด

ส่วนที่โต๊ะบุฟเฟ่ต์จะมีข้าวต้ม ขนมปังให้ปิ้งเอง แยมทาขนมปัง เครื่องดื่มจำพวกชา กาแฟ โอวัลติน น้ำส้ม น้ำเปล่า ภาชนะ​และอุปกรณ์​ทานอาหาร

ที่โต๊ะมีทิชชู่และเครื่องปรุงรส พวกซอส เกลือ พริกไทยให้ ส่วนขวดสีขาวๆ เป็นน้ำสลัดสำหรับราดผักในจานหลัก ไม่ใช่มายองเนส ด้วยความที่มาคนเดียว เราเลยเลือกนั่งเคาน์เตอร์​ที่หันหน้าเข้าหาทะเลค่ะ



กินเสร็จก็กลับขึ้นห้อง เก็บข้าวของเตรียมเช็คเอาท์ตอน 11 โมงค่ะ



เวลาเช็คเอาท์ของที่พักคือ 11 โมง พอเอากุญแจไปคืนและแจ้งเช็คเอาท์ เขาจะเช็คห้องก่อน ถ้าห้องไม่มีปัญหาก็จะได้เงินมัดจำ 1,000 บาทคืนค่ะ

เรือจากหาดตาแหวนไปแหลมบาลีฮายออกบ่ายโมง ทางที่พักมีรถไปส่งท่าเรือหาดตาแหวนฟรี แต่เขาแนะนำให้ไปสักเที่ยงครึ่ง เพราะไปนั่งรอนานๆ ก็ร้อน โดยเราสามารถฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พักและไปเที่ยวก่อนได้ค่ะ



เราตัดสินใจฝากกระเป๋าไว้แล้วออกไปเดินเล่นสำรวจหน้าหาด หาดตาแหวนเป็นหาดที่ยาวจริงๆ ค่ะ ช่วงกลางวันตั้งแต่สายๆ ไปจนถึงบ่ายแก่ๆ จะมีนักท่องเที่ยวแบบ One day trip มาจากพัทยา มาเป็นทัวร์บ้าง มากันเองบ้าง รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่พักอยู่โซนอื่นของเกาะก็เข้ามาเที่ยวกัน ทำให้หาดคึกคักและวุ่นวายมาก บนบกมีมอเตอร์ไซค์ ในทะเลมีสปีดโบ๊ท เจ็ทสกีวิ่งว่อนไปหมด ต่างจากช่วงเย็นถึงเช้าแบบลิบลับเลยค่ะ


เราเดินไปทางตะวันออกจนเกือบสุดทางก็ย้อนกลับ จริงๆ มีร้านที่อยากเข้าอยู่ แต่เรายังอิ่มจากอาหารเช้าที่เพิ่งกินแบบจัดเต็มมา เมื่อวานก็คลื่นไส้จนกินอะไรไม่ลง เลยต้องตัดใจค่ะ



เราเดินย้อนกลับไปทางตะวันตก เดินไปจนถึงทางแยกเข้าหาดที่เราคิดว่าน่าจะมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ตรงนั้น แล้วก็มีจริง เราขอให้เขาพาขึ้นไปวัดกับจุดชมวิวที่อยู่ข้างบน ค่ารถไป-กลับเที่ยวละ 50 บาทค่ะ

ทางขึ้นเขาสูงและชัน พื้นเป็นอิฐบล็อครูปตัวหนอน ทำให้เราคิดถึงคอมเมนท์ของหลายๆ คนที่บอกว่า "เกาะล้านไม่ใช่ที่สำหรับมือใหม่หัดขับมอเตอร์ไซค์"

ขึ้นมาถึงตรงพระใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของสำนักสงฆ์เขาใหญ่ญาณวโรดมวราราม พี่วินถามว่าจะขึ้นไปข้างบนอีกมั้ย มีเจ้าแม่กวนอิมอยู่ ถ่ายรูปสวยเหมือนกัน แต่แค่นี้เราก็กลัวกับทางมามากพอแล้ว เลยตัดสินใจไม่ไปต่อ ขอพอแค่นี้ดีกว่าค่ะ





พี่วินขอกลับลงไปข้างล่างก่อน และให้เบอร์ไว้โทรตามถ้าจะกลับ เราจ่ายค่ารถ 50 บาท แล้วก็เดินดูรอบๆ

วิวหาดตาแหวนจากตรงพระใหญ่





พระพุทธรูปตรงศาลาแบบเปิดโล่ง



ร้านเช่าพระ เครื่องรางต่างๆ จุดรับบริจาคทำบุญ ดูแลโดยแม่ชี




เจดีย์



ตรงนี้เป็นลานธรรมค่ะ ข้างในมีพระพุทธรูป มองเข้าไปเห็นพระนั่งคุยกับญาติโยมอยู่ ได้ยินเสียงคุยแว่วมา เหมือนไม่ใช่การเทศน์ แต่เป็นการพูดคุยแบบสอดแทรกพระธรรมคำสอนเข้าไปด้วย




มีคนขึ้นมาเล่นพาราไกลดิ้งด้วยค่ะ เท่าที่สังเกตคือแบบนี้จะไม่มีมอเตอร์ ใช้ลมและอากาศพยุงร่ม ใช้มือขยับเชือกควบคุมร่มเพื่อปรับทิศทาง ดูไปดูมาก็เหมือนกำลังบินอยู่เลยค่ะ




เราโทรเรียกพี่วินขึ้นมารับ แล้วเดินไปไหว้พระใหญ่ระหว่างรอ พอเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าเขาเรียกว่าหลวงปู่ทวดค่ะ



และเราก็ขอให้พี่วินพาแวะจุดชมวิวระหว่างทางลงไปข้างล่างค่ะ





พี่วินใจดีเสนอช่วยถ่ายรูปให้เราด้วย แต่พอเรายื่นโทรศัพท์​ให้เขา กล้องก็ดับเพราะความร้อนพอดี ตอนแรกว่าจะตัดใจ แต่นึกได้ว่ายังมีอีกแอปนึงที่เราใช้ถ่ายเซลฟี่ ลองเปิดดู ปรากฏว่ายังใช้ได้ เลยรีบถ่ายเซลฟี่รัวๆ ไป 3-4 รูป ก่อนที่จะใช้ไม่ได้ไปอีกแอป

จากนั้นก็กลับไปที่หาดตาแหวนค่ะ เราขอให้เขาเข้าไปส่งที่ที่พักเลย จะได้ไม่ต้องเดินไกล ถึงที่พักแล้วก็จ่ายค่ารถอีก 50 บาท เป็นอันจบทริปเล็กๆ ก่อนกลับค่ะ



กลับถึงที่พักตอนเที่ยงนิดๆ นั่งพักอยู่ตรงล็อบบี้ถึงประมาณเที่ยงสิบห้า เจ้าหน้าที่ฟรอนท์ก็ถามเราว่าจะไปเลยมั้ย แล้วก็เรียกคนขับรถไปส่งเราค่ะ

รถรับส่งของที่พักเป็นเหมือนมอเตอร์ไซค์​พ่วงข้าง มีหลังคาและแต่งให้นั่งสบาย เราชอบที่มีช่องวางกระเป๋าด้วย ถ้าวางกระเป๋าลากตรงช่องนี้มันจะไม่ไหล ไม่ต้องคอยจับค่ะ



ท่าเรือหาดตาแหวนอยู่ห่างจากที่พักเราระดับนึงเลยค่ะ ถ้าเดินก็นานและเหนื่อยอยู่ เพราะขนาดนั่งรถยังรู้สึกว่านาน แต่อาจเพราะถนนหน้าหาดมันพลุกพล่านด้วย รถเลยต้องชะลอหรือจอดบ่อยๆ

ท่าเรือหาดตาแหวนทำสวยทีเดียวค่ะ ตอนกลางคืนจะเปิดไฟด้วย เสียดายที่เราไม่รู้ ตอนเดินไปซื้อของก็เกือบถึงแล้ว ตอนเดินเล่นที่หาดหน้าที่พักตอนกลางคืนก็เห็นซุ้มประดับไฟสวยๆ อยู่ไกลๆ ก็สงสัยอยู่ว่าคืออะไร พอมาเห็นท่าเรือคือรู้เลย เราจำได้ว่ามันรูปร่างอย่างงี้



เดินไปถึงก็เจอเรือจอดรออยู่แล้วค่ะ เป็นเรือไม้ลำใหญ่ ค่าโดยสาร 30 บาท ตอนนั้นประมาณเที่ยงครึ่ง มีคนเก็บค่าเรืออยู่ตรงทางลง จ่ายค่าเรือแล้วก็ลงไปขึ้นเรือได้เลย บนเรือจะมีห้องเก็บสัมภาระอยู่ ก็เอากระเป๋าเข้าไปไว้ในนั้นแล้วไปหาที่นั่ง เรือมี 2 ชั้น เราเลือกชั้นบน มีหลังคานะคะ

บนเรือมีคนนั่งอยู่เกือบเต็มแล้ว ที่นั่งที่อยู่รอบนอกที่โปร่งๆ หน่อยเต็มหมดแล้ว เราเลยต้องนั่งข้างใน ซึ่งร้อนมาก แล้วที่นั่งก็แปลกๆ เป็นไม้แผ่นเล็กๆ นั่งไม่เต็มก้น แผ่นไม้เอียงไปทางข้างหลัง ก้นมันจะหย่อนลงไป แล้วเท้าจะลอยไม่แตะพื้น ทั้งๆ ที่เราก็ขายาว แล้วระยะห่างจากแถวหน้าคือแคบมาก เป็นการนั่งเรือที่ทรมานมากค่ะ

เรือออกก่อนบ่ายโมง ประมาณเที่ยงห้าสิบก็ออกแล้ว และไปถึงท่าเรือแหลมบาลีฮายประมาณบ่ายโมง 40 นาทีค่ะ

ลาก่อนเกาะล้าน






ท่าเรือแหลมบาลีฮาย พัทยา ตอนขาไปเรายังมาไม่ถึงตรงขาวๆ นี้ สปีดโบ๊ทที่เรานั่งไปเกาะล้านถือว่าจอดค่อนข้างใกล้ฝั่งค่ะ



หลังจากถ่ายรูป แวะเปลี่ยนรองเท้าที่ศาลาพักผู้โดยสาร เราก็เดินไปที่ท่ารถของ T. Tour ค่ะ อยู่ใกล้ๆ กับท่าเรือเลย ถ้าดูจาก Google​ Map จะเห็นอยู่ข้างๆ เซเว่น

ไปถึงที่ซื้อตั๋ว บอกเขาลง MRT จ่ายค่ารถ 160 บาท เขาจะให้บัตรคิวสีๆ มา แล้วบอกให้ไปนั่งรอก่อน รถมาเมื่อไหร่จะเรียก แต่ยังไม่ทันได้นั่ง เขาก็เรียกบัตรสีของเราขึ้นรถแล้วค่ะ รอบนี้ได้รถตู้ หลังจากทุกคนขึ้นรถ คนขับจัดการธุระต่างๆ เสร็จ รถก็ออกประมาณบ่ายสองสิบนาทีค่ะ


พัทยารถติดมาก รู้สึกว่าติดอยู่นานเหมือนกันกว่าจะหลุดออกไปได้ กรุงเทพรถยังไหลดีกว่านี้ บนรถขากลับรู้สึกคนหลับกันเกือบทั้งคัน ต่างจากขามาที่ไม่ค่อยมีใครหลับ แต่เราก็หลับ เพราะเราเมาง่าย เลยชิงหลับไปซะก่อนดีกว่า


รถมีแวะเติมแก๊สระหว่างทาง สามารถไปเข้าห้องน้ำและซื้ออะไรกินได้ และมาถึง MRT จตุจักรประมาณ 4 โมง 50 นาทีค่ะ เป็นอันจบทริป



ทริปนี้ถึงจะเป็นทริปสั้นๆ สั้นจนแอบรู้สึกว่าไม่คุ้มกับการขึ้นรถลงเรือ เพราะใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนานและเหนื่อย แต่ก็มีความสุขมากค่ะ มีเงินแค่นี้ก็เที่ยวแค่นี้ไปก่อน ฮ่าๆๆ



ถ้าอ่านมาเรื่อยๆ ตั้งแต่แรกจะเห็นว่ามันไม่ใช่ทริปประหยัด ที่พัก อาหาร การเดินทาง เราจัดเต็มเท่าที่งบเราเอื้ออำนวยเหมือนกัน ทั้งที่จริงๆ มันสามารถประหยัดกว่านี้ได้อีก อันนี้ก็สไตล์ใครสไตล์มัน ซึ่งเราชอบแบบนี้ เรายังอยากนอนที่พักสวยๆ สบายๆ กินอาหารดีๆ บรรยากาศดีๆ อยู่ค่ะ



สำหรับใครที่ไปเที่ยวคนเดียว เราแนะนำให้ลงทุนนอนที่พักติดหาดค่ะ มันอาจจะแพงหน่อย แต่เราสามารถทิ้งสมบัติไว้ในห้อง แล้วลงเล่นน้ำได้เลย ไม่ต้องเอาของไปวางทิ้งไว้ที่หาด แล้วมาคอยกังวลว่าจะหายมั้ย ส่วนกุญแจห้องสามารถฝากไว้ที่ฟรอนท์ได้ค่ะ



ขอจบโพสท์ทริปเกาะล้าน 2024 ไว้ ณ ตรงนี้ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ค่ะ 🙏✨









วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

บันทึกการเดินทาง ::: เที่ยวเกาะล้านคนเดียว 2 วัน 1 คืน DAY 1


สวัสดีค่ะ รอบนี้เราจะไปเกาะล้านค่ะ เหตุเกิดมาจากอยากไปทะเลช่วงฤดูร้อน แต่ไม่มีทั้งเงินและเวลา เกาะล้านจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากเราขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น เลยเลือกอยู่หาดตาแหวนที่เดียวเลยค่ะ เพราะเท่าที่หาข้อมูลมา เราว่ามันครบดี หาดสวย เหมาะแก่การเล่นน้ำ กิจกรรมเยอะ หากินง่าย มีเซเว่น และมีเรือจากแหลมบาลีฮายมาที่นี่ด้วย ไม่ต้องต่อรถค่ะ



เราไปวันเสาร์ กลับวันอาทิตย์ค่ะ เริ่มต้นการเดินทางจากสถานีขนส่งเอกมัย เราเลือกที่นี่เพราะเดินทางง่าย ใกล้ BTS เอกมัยค่ะ

เราเลือกขึ้นรถของ T. Tour ไปลงแหลมบาลีฮาย ราคา 160 บาท เราเห็นป้ายเขียนว่าเกาะล้าน เราเลยบอกเขาว่าไปเกาะล้าน ซึ่งก็เป็นอันรู้กันว่าส่งที่ท่าเรือแหลมบาลีฮายค่ะ

ได้เป็นรถมินิบัส คนเต็มทั้งคันค่ะ รถออกประมาณ 9 โมง 10 นาที ใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมง รถไปถึงแหลมบาลีฮายประมาณ 11 โมงกว่าๆ แต่เรือไปหาดตาแหวนออกบ่ายโมง เราไม่อยากรอ เลยไปเดินวนๆ หาสปีดโบ๊ทไปหาดตาแหวนดูค่ะ ที่ขายตั๋วสปีดโบ๊ทจะอยู่ตามเต๊นท์แถวๆ ท่าเรือนั่นหละค่ะ บางทีก็จะมีคนมาคอยเรียกลูกค้าแถวๆ ศาลาพักคอยด้วย

ระหว่างที่เราเดินวนหาสปีดโบ๊ทหาดตาแหวน ก็มีคนมาขายของให้เราพอดี ถามแล้วมีไปหาดตาแหวนด้วย ราคาเท่ากับที่เราหาข้อมูลมา ก็เลยตามเขาไป ค่าสปีดโบ๊ทไปหาดตาแหวนเที่ยวเดียว 200 บาท เป็นเรือจอย ไปร่วมกับคนอื่น ไป-กลับน่าจะ 350 ได้ยินไม่ถนัด แต่ขากลับเขาไม่ได้ไปรับที่หาดตาแหวน ต้องไปขึ้นที่ท่าหน้าบ้าน เราเลยซื้อแค่เที่ยวเดียวค่ะ

นั่งรอยังไม่ทันหายเมื่อย เขาก็เรียกไปขึ้นเรือแล้ว จะมีคนเดินนำไป มีไม้นำทางห้อยตุ๊กตาเหมือนเป็นคณะทัวร์ พอไปถึงท่าก็มีคนมาขึ้นเพิ่มอีกจนเต็มเรือพอดีค่ะ

สปีดโบ๊ทก็คือสปีดโบ๊ท เร็วเหมือนจะพาเราบินได้ แต่ก็กระแทกแรงจนเหมือนไส้จะหลุดออกมาทางปากได้เหมือนกันค่ะ


ใช้เวลาเดินทางกี่นาทีไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้ดูเวลา แต่คิดว่าน่าจะประมาณ 20 นาทีถึงท่าหน้าบ้าน เรือจะไปส่งคนที่ท่าหน้าบ้านก่อน แล้วค่อยไปส่งที่หาดตาแหวน ไปหาดตาแหวนรวมๆ แล้วน่าจะประมาณ 30 นาทีได้ค่ะ



มาถึงหาดตาแหวน เรือไม่ได้เข้าจอดที่ท่า แต่จอดที่หาดเลย แล้วให้เดินลุยน้ำไป ไม่ลึก เราชอบเดินลุยน้ำก็จริง แต่เราใส่รองเท้าผ้าใบมา เลยต้องถอดรองเท้าเดิน และเราเอากระเป๋าลากมา แทนที่ลงจากเรือแล้วจะเดินลากไปได้เลยก็ต้องหิ้วไปให้พ้นหาดทรายก่อน แล้วพื้นร้อนมาก รองเท้าแตะอยู่ในกระเป๋าลาก จะเปิดก็ยุ่งยากและดูไม่งาม เลยต้องวิ่งลากกระเป๋าไปที่พักด้วยเท้าเปล่า ที่พักอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดเรือมากนัก แต่กว่าจะถึงที่พักเท้าเราก็สุกจนไหม้แล้วค่ะ เจ็บจนเดินแทบไม่ได้ แต่ก็ต้องเดิน

จริงๆ ที่พักมีบริการรถรับ-ส่งท่าเรือหาดตาแหวนฟรี ให้โทรบอกเขาให้ไปรับเมื่อมาถึง พอกลับมาเพิ่งนึกได้ว่าทำไมเราไม่หลบอยู่ในร่มชายหาดแถวจุดที่เรือปล่อยลง แล้วโทรให้ที่พักส่งรถมารับ มันอยู่ใกล้กว่าท่าเรือด้วยซ้ำ แต่ก็นะ ตอนนั้นมันคิดอะไรไม่ออกไงคะ



มาถึงที่พักน่าจะเกือบๆ บ่ายโมง เวลาเช็คอินคือบ่ายสอง ยังเช็คอินไม่ได้ เพราะแม่บ้านยังทำห้องไม่เสร็จ แต่ฝากกระเป๋าไว้แล้วไปเที่ยวก่อนได้ค่ะ


เราพักที่ ตาแหวนบีช รีสอร์ท บรรยากาศที่พักก็จะประมาณนี้ค่ะ

รูปนี้ถ่ายตอนเช้า เขาเพิ่งเริ่มตั้งร่ม ตั้งเก้าอี้ชายหาด ลูกค้าที่พักนั่งฟรี สามารถสั่งอาหาร-เครื่องดื่มจากร้านของที่พักมากินตรงนี้ได้ แต่ห้ามนำของข้างนอกเข้ามาค่ะ


ด้านหน้าที่พักจากมุมมองด้านในชั้น 2


บาร์เครื่องดื่ม เดินเข้าที่พักมาก็เจอเลย



ที่นั่งทานอาหาร



ที่นั่งทานอาหารอีกด้านและโต๊ะบริการบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า


Reception ประตูสีฟ้าๆ คือห้องพักชั้น 1 ค่ะ
เราว่าชั้น 1 ไม่ค่อยสงบและเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ ทั้งแขก ทั้งพนักงานเดินกันวุ่นวายตั้งแต่เช้าจนดึก แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่องความสงบและต้องการความสะดวกมากกว่า ชั้น 1 ก็สะดวกจริงค่ะ



โซนที่พักชั้น 2 ค่ะ



เราเดินวนๆ ปนนั่งพักอยู่ที่ล็อบบี้ได้ไม่นาน เขาก็เรียกมารับกุญแจเข้าห้องแล้วค่ะ เราได้ห้องชั้นสอง เป็นห้องมุมอยู่ด้านหน้าสุดเลย

ในห้องพักตกแต่งได้สวยงามทีเดียวค่ะ รู้สึกว่าดูดีกว่าในรูปที่เห็นตอนจองซะอีก





ประตูจะเป็นแบบบานเลื่อนค่ะ ตัวล็อคเป็นแบบธรรมดา แบบประตูบานเลื่อนทั่วไป ใช้กุญแจเปิด-ปิด


ในห้องมีพัดลมเพดานด้วย ควบคุมด้วยรีโมท ส่วนทีวีไม่มีรีโมท มีแต่รีโมทกล่องทีวีที่ใช้เปลี่ยนช่อง ถ้าต้องการเปิด-ปิดทีวีให้กดสวิตช์ที่ทีวีได้เลย เราถามเจ้าหน้าที่แล้ว เขาบอกว่าลูกค้าทำรีโมทหายหมด ทีวีที่นี่เลยไม่มีรีโมทค่ะ





รูปภาพประดับผนังเก๋ๆ มีรหัสไวไฟ แผนที่เกาะล้าน และตารางเดินเรือให้ด้วย



ตารางเดินเรือพัทยา -​ หาดตาแหวน



ที่แขวนเสื้อผ้า ตู้เซฟ ตู้เย็น ส่วนผ้าเช็ดตัวของที่นี่จะเป็นสีน้ำเงินค่ะ



มีน้ำดื่มฟรีให้ 2 ขวดนะคะ เราเอาออกมากินแล้วขวดนึง ดูได้จากรูปด้านบน



อ่างล้างหน้าจะอยู่นอกห้องน้ำค่ะ



ข้างๆ อ่างมีไดร์เป่าผมและปลั๊กไฟให้



ห้องน้ำสะอาดสวยงามค่ะ




มีสบู่เหลวกับแชมพูใส่ขวดปั๊มไว้ให้ แต่เราหยิบสบู่ออกไปใช้ล้างมือตรงอ่างล้างหน้าแล้ว ในรูปนี้เลยมีแต่แชมพูค่ะ



ตรงระเบียงมีราวตากผ้าให้



มีเปลให้นั่งเล่นด้วย แต่มุมไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ ค่อนข้างอับ และมีกลิ่นอาหารด้วย เพราะข้างล่างเป็นครัวของทางที่พักพอดีค่ะ



สามารถมองเห็นทะเลจากระเบียงห้องได้ในมุมชะโงก



ถ้านั่งที่เปลก็จะเห็นประมาณนี้
แต่ก็ช่างเถอะค่ะ หาดอยู่หน้าที่พัก เก้าอี้ชายหาดก็นั่งฟรี ถ้าอยากนั่งดูทะเลก็ไปนั่งตรงนั้นเอา



ค่าที่พักคืนวันเสาร์ 2,500 บาท เราจองตรงกับทางที่พักผ่านทางไลน์ ตอนจองวางมัดจำไปแล้วครึ่งนึงคือ 1,250 บาท พอมาถึงก็ต้องจ่ายส่วนที่เหลือ จะโอนหรือชำระเป็นเงินสดก็ได้ เราเลือกจ่ายเป็นเงินสดค่ะ

ตอนเช็คอินจะมีค่ามัดจำกุญแจ 1,000 บาท จะได้คืนเมื่อเช็คเอาท์โดยที่ห้องไม่มีปัญหาอะไร รับเป็นเงินสดเท่านั้น เพื่อตอนคืนจะได้คืนได้ง่ายๆ



ทางที่พักจะมีแถมทริปดำน้ำที่เกาะสากให้ด้วย เขาจะถามเราอีกทีว่าจะไปมั้ย เป็นการดำแบบ snorkel คือดำผิวน้ำ ใส่ชูชีพดำ ว่ายน้ำไม่เป็นก็ดำได้ แต่เขาจะปล่อยให้ดำกันเอง ไม่ได้คอยตามดูแลแบบตัวต่อตัว เราอยากลอง เลยตัดสินใจไป เขาก็ลงชื่อเราไว้รอบบ่ายสอง บ่ายโมงครึ่งให้มาสแตนด์บายที่ล็อบบี้ บ่ายโมงห้าสิบจะมีคนมาพาไปขึ้นเรือค่ะ



เดินวนๆ งงๆ ในห้อง ถ่ายรูป รื้อของ พักผ่อนได้แป๊บนึง ก็ต้องลุกมาเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ ทาครีมกันแดด เตรียมตัวไปดำน้ำค่ะ

บ่ายโมงครึ่งลงไปรอตรงล็อบบี้ แต่กว่าจะถึงเวลานัดก็อีกหลายนาที จะนั่งตรงนั้นก็กลัวจะเกะกะแขกที่จะมาเช็คอิน จะนั่งตรงร้านอาหารก็กลัวจะเกะกะคนที่มาทานอาหาร เลยตัดสินใจไปนั่งเล่นตรงเก้าอี้ชายหาด และออกไปถ่ายรูปทะเลเล่นนิดหน่อยค่ะ

รู้ตัวอีกทีก็บ่ายโมง 55 นาทีแล้ว เลยรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ Reception ปรากฏว่าเขาไปกันแล้ว แต่ยังพอทัน เขาเลยให้คนขับมอไซค์ไปส่งที่จุดขึ้นเรือ ซึ่งก็อยู่ที่หาด ห่างจากที่พักนิดหน่อย เป็นจุดที่เรือเข้ามาจอดได้ โซนหน้าที่พักจะมีทุ่นกั้นไว้ คิดว่าคงกั้นโซนให้คนเล่นน้ำ เรือจะเข้ามาไม่ได้

เราไปทันขึ้นเรืออย่างฉิวเฉียด ต้องขอโทษและขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ 🙇‍♀️



ขึ้นเรือมาทุกคนก็หาชูชีพใส่กัน คนขับเรือบอกให้ใส่คร่าวๆ ไว้ก่อน เดี๋ยวก่อนลงน้ำจะช่วยดูให้อีกที คนอื่นๆ บนเรือเหมือนมาเป็นครอบครัว ไม่รู้ว่ากรุ๊ปเดียวกัน หรือแค่คุยกันได้เฉยๆ

เรือที่ใช้เป็นสปีดโบ๊ทค่ะ แถวๆ เกาะล้านมีลมก็จริง แต่เหมือนคลื่นไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ เรือเลยไม่เหิน ไม่กระแทกมากเหมือนตอนนั่งมาจากพัทยา ใช้เวลาไม่นาน เรือก็มาจอดตรงจุดดำน้ำใกล้ๆ เกาะสากค่ะ

คนขับเรือจะสอนวิธีใช้หน้ากากดำน้ำให้ ส่วนลูกเรืออีกคนจะช่วยตรวจความเรียบร้อยของเสื้อชูชีพให้ เสร็จแล้วก็ปล่อยลงน้ำ

นี่คือการดำน้ำ Snorkel ครั้งแรกของเรา เป็นการใส่ชูชีพลงน้ำครั้งแรกของเรา เป็นน้ำที่ลึกเกินหยั่งด้วย และเราก็ว่ายน้ำไม่เป็นด้วย ตอนแรกก็ชิล มีชูชีพ ไม่จมหรอก แต่พอลงไปคือรู้เรื่องเลยค่ะ เราค้นพบว่าเราประคองตัวในน้ำไม่เป็น พอมันจะหงายจะคว่ำ เราตกใจและกลัวมากจนคุมตัวเองไม่ได้

พอเราทำท่าจะไม่รอด ลูกเรือรีบโดดลงมาช่วย คนขับที่เหมือนเป็นผู้นำทริปก็ตามมาด้วยอีกคน และจบที่คนขับเป็นคนจับเราพาเราไปดู เขาใจดีมาก สอนเราใช้หน้ากาก สอนเราหายใจ สอนเราเคลื่อนไหว ปลอบเราจนเราผ่อนคลาย พาไปดำน้ำดูจนจบ

ดำน้ำที่เกาะสากอาจไม่ว้าวเท่าทะเลใต้ที่เคยเห็นในรูป แต่ก็เป็นประสบการณ์​ที่ดีค่ะ เจอหอยเม่นเยอะ เจอปลาลายเสือว่ายเฉียดเข้ามาใกล้ๆ แบบไม่กลัวคนเลย แล้วก็มีปะการังที่ดูคล้ายสมองค่ะ

ดำเสร็จคุณคนขับเรือก็สอนวิธีประคองตัวในน้ำให้ ขอบคุณมากค่ะ พอเขาเห็นว่าเราเข้าที่เข้าทางแล้วก็หันไปดูแลคนอื่นต่อ เราฝึกประคองตัวต่ออยู่สักพักก็เริ่มรู้สึกแน่นหน้าอกเพราะโดนแรงดันน้ำอัด เลยตัดสินใจกลับขึ้นเรือค่ะ

ระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์​พิเศษเกิดขึ้นค่ะ ใกล้ๆ กับที่เราดำน้ำมีเครื่องเล่นสวนน้ำอยู่ ทัวร์ของเราไม่รวมบริการนี้ จะไปเล่นไม่ได้ แล้วเหมือนมีคนจมน้ำหรืออะไรสักอย่างที่นั่น มีคนมุงกันอยู่ จนเหมือนเขาช่วยให้คนนั้นฟื้นขึ้นมาได้ แล้วเขาก็กรี๊ด กรี๊ดไม่หยุด กรี๊ดแบบถ้าเป็นสมัยก่อนคือตามหมอผีแล้ว เราก็ได้แต่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนขับเรือของเราบอกว่าอาการเหมือนลมบ้าหมูกำเริบ พอฟื้นขึ้นมาแล้วยัง panic นึกถึงความกลัวตอนจะจมน้ำ บวกกับสติสัมปชัญญะ​ยังกลับมาไม่ครบ เลยกรี๊ดไม่หยุดอย่างงั้นค่ะ

พอทุกคนที่ลงน้ำทะยอยกลับขึ้นเรือ คุณคนขับเรือก็ฉีดน้ำจืดล้างหน้าล้างตัวให้ทุกคน พอเราได้น้ำจืดล้างหน้าไปหน่อยก็ทำให้ริมฝีปากที่แสบเพราะโดนน้ำทะเลกัดหายแสบไปได้

คุณคนขับเรือถามเราว่าเป็นไงบ้าง เราบอกเขาไปตรงๆ ว่าจะอ้วก เขาเลยให้เรานั่งตรงท้ายเรือ เพราะมันโปร่งหน่อย และบอกให้มองภูเขา มองสิ่งที่มันอยู่นิ่งๆ อย่ามองเรือหรืออะไรที่มันโคลงเคลง จากนั้นเรือก็ออกจากจุดดำน้ำมุ่งหน้ากลับไปยังเกาะล้านที่เราจากมาค่ะ



กลับมาถึงหาดตาแหวนกี่โมงก็ไม่รู้ ไม่ได้ดูนาฬิกา น่าจะประมาณเกือบๆ บ่ายสาม ตอนแรกตั้งใจจะเล่นน้ำทะเลหน้าที่พัก เพราะไหนๆ ก็เปียกแล้ว แต่รู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยตัดสินใจขึ้นห้องไปอาบน้ำ สระผม ล้างตัวค่ะ


สิ่งหนึ่งที่เราประทับใจมากเกี่ยวกับที่พักคือเขามีที่ล้างเท้าก่อนเข้าที่พักให้ค่ะ เป็นสายฉีดชำระแบบที่ใช้ในห้องน้ำนั่นแหละค่ะ แต่เอาไว้ให้ฉีดล้างเท้าตรงมุมหน้าทางเข้า คงเพราะที่พักเขาเป็นอาคาร พื้นเป็นกระเบื้อง ไม่ใช่พื้นดิน พื้นหญ้าธรรมชาติ คนเท้าเปียกเปื้อนทรายย่ำขึ้นไปมันดูสกปรก ไม่เรียบร้อยสวยงาม และการมีที่ล้างเท้าก็ช่วยลดปริมาณทรายที่ติดเข้าไปในห้องพักได้ด้วยค่ะ


นอนพักสักครู่ รู้สึกอยากกินน้ำมะพร้าว เลยลงไปด้อมๆ มองๆ ที่บาร์น้ำข้างล่าง ดูเมนูเครื่องดื่ม มะพร้าวลูกละ 60 บาท มะพร้าวปั่นแก้วละ 80 บาท มะพร้าวลูกดูดแป๊บเดียวก็หมดแล้ว มะพร้าวปั่นน่าจะกินได้จุใจหน่อย เลยเลือกสั่งเป็นมะพร้าวปั่นค่ะ

อาหารเครื่องดื่มที่นี่จะไม่สามารถลงบิลไว้จ่ายตอนเช็คเอาท์ได้ค่ะ ซื้อตอนไหนก็จ่ายตอนนั้นเลย สามารถสแกนจ่ายได้ค่ะ



ได้มาแล้วค่ะ มะพร้าวปั่น อร่อยมาก


เรานั่งงงๆ อยู่ในโซนทานอาหารสักพักก็ตัดสินใจย้ายไปนั่งที่เก้าอี้ชายหาดแทนค่ะ

ตอนที่ถ่ายรูปพวกนี้ก็ประมาณเกือบๆ 4 โมงเย็นค่ะ แดดยังร้อนแรงอยู่ แต่ในเก้าอี้ชายหาดไม่ร้อนเลยค่ะ คงเพราะมีลมพัดอยู่ตลอด


เก้าอี้ชายหาดจะให้นั่งถึง 4 โมงเย็น จากนั้นพนักงานจะเข้ามาทำความสะอาด เก็บร่ม จัดสถานที่เป็นร้านอาหารค่ะ



เราเห็นว่าแดดยังแรงอยู่ บวกกับอาการเวียนหัวคลื่นไส้จากการเมารถเมาเรือสะสมมาตั้งแต่ตอนนั่งรถมาพัทยายังไม่ดีนัก เลยตัดสินใจกลับไปนอนพักที่ห้องก่อนค่ะ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เย็นๆ แดดร่มลมตกค่อยออกมาเดินเล่น

แต่ปรากฏว่า ไม่ตื่นค่ะ ไม่รู้ทำไมไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ถึงมันจะวางอยู่ที่โต๊ะวางทีวีเพื่อชาร์จไฟ แต่เราก็น่าจะได้ยิน แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้ตื่นช้ามากค่ะ ตื่นมา 6 โมงกว่า ยังพอมีแสงอยู่ เดินออกไปดูตรงระเบียง ก็เห็นว่ายังมีคนเล่นน้ำกันอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ก็น้อยลงมากเมื่อเทียบกับตอนกลางวัน คนที่มาจากที่อื่นคงกลับไปกันหมดแล้ว เหลือแต่คนที่พักอยู่แถวนี้ เราเลยลงไปเดินเล่นถ่ายรูปที่ชายหาดก่อนจะมืดค่ะ

หาดตาแหวนตอนเย็นค่อนข้างสงบค่ะ เรือที่วิ่งกันพลุกพล่านตอนกลางวันก็หายไป คนที่ยังเล่นน้ำอยู่ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวกับคู่รัก แล้วก็เหล่าคนหนุ่มสาวที่มาถ่ายรูปกัน แต่ก็เล่นกันเงียบๆ ไม่ได้รบกวนใคร และมีสเปซค่อนข้างมากค่ะ ถ่ายรูปแล้วไม่ติดคนจนเสียบรรยากาศ

พอได้เอาเท้าจุ่มน้ำแล้วก็อยากจุ่มลงไปทั้งตัวเลยค่ะ แต่เราไม่ได้ใส่ชุดสำหรับเล่นน้ำมา และขี้เกียจอาบน้ำอีก เลยอดใจไว้เล่นตอนเช้าทีเดียวค่ะ



หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็ออกไปเดินสำรวจถนนเลียบหาดสักหน่อย ร้านรวงปิดกันไปเยอะแล้ว เหลือแค่ร้านขายของและร้านอาหารนิดหน่อยค่ะ

The Sky & Sea



สำหรับใครที่มาเที่ยวแบบ One Day Trip จากพัทยา หรือมาจากโซนอื่นของเกาะ ที่หาดตาแหวนมีล็อคเกอร์และห้องอาบน้ำให้บริการด้วยค่ะ ส่วนค่าบริการและคุณภาพเป็นยังไงเราไม่รู้นะคะ เพราะแค่เดินผ่านเฉยๆ


MARE Beach Bar & Restaurant


เราเดินไปจนถึงเซเว่น อยู่แถวๆ ถนนที่มีแยกทางเข้ามาที่หาด ตรงนี้ช่วงกลางวันจะมีวินมอเตอร์ไซค์และสองแถวให้บริการอยู่ค่ะ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเราพอสมควรเลย ระหว่างทางเจอรถเข็นขายอาหารอยู่ประมาณ 4-5 ร้าน


เราเข้าไปซื้อน้ำกับนมที่เซเว่น เซเว่นที่เกาะล้านจะไม่มีถุงพลาสติกให้ค่ะ อาจเพราะทางเกาะไม่อนุญาต มีแต่ถุงแบบนี้ ใบละ 39 บาท


แนะนำให้เตรียมถุงไปด้วยนะคะ หรือจะเอาเป็นถุงก๊อบแก๊บเก่าๆ พับเป็นสามเหลี่ยม ก็พกใส่กระเป๋าง่ายดีค่ะ และเราก็เห็นลูกค้าบางคนไปขอลังจากทางร้านมาใส่ของอยู่เหมือนกันค่ะ



ระหว่างทางไปเซเว่น เราเห็นร้านรถเข็นร้านนึงขายหอยย่างเนย น่าสนใจทีเดียว ย้อนกลับมายังมีขายอยู่ เลยแวะซื้อมาลองดูค่ะ


หอยพอกเกาะล้านย่างเนย ชุดละ 100 บาท ได้ 6 ตัว ไม่มี QR Code ให้สแกน แต่มีเลขบัญชีให้โอนค่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย เราพกเงินสดติดตัวมาไม่มาก เพราะไม่คิดว่าจะใช้เยอะ หลังจากซื้อของเซเว่นก็เหลือไม่พอซื้อหอยนี่แล้วค่ะ

โชคดีที่ตรงนั้นมีเก้าอี้ชายหาดอยู่ ถึงจะมืดหน่อย แต่ก็ไม่น่ากลัว เพราะมีคนอื่นนั่งอยู่ด้วยเหมือนกัน และดูเป็นกลุ่มครอบครัว ไม่ใช่กลุ่มคนน่ากลัวอะไร เราแวะนั่งกินหอยตรงนั้นแป๊บนึง อร่อยมากค่ะ และก็โชคดีที่แถวเก้าอี้ชายหาดนั่นมีถังขยะอยู่ด้วย เลยไม่ต้องหาที่ทิ้งให้วุ่นวาย



กินเสร็จก็เดินกลับที่พัก เอาของขึ้นไปเก็บที่ห้อง แล้วลงไปกินข้าวที่ร้านอาหารของที่พักค่ะ ตอนนั้นเวลาประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง ที่นั่งสำหรับ 2 คนที่อยู่แถวหน้า หันหน้าเข้าหาทะเลเต็มหมดแล้วค่ะ เหลือแต่โต๊ะใหญ่ 4 ที่ขึ้นไปที่อยู่ข้างใน พนักงานเลยเอาเก้าอี้กับโต๊ะมาวางเสริมให้ข้างๆ ระหว่างรออาหารก็ถ่ายรูปเล่นสักหน่อยค่ะ

หาดตาแหวนยามค่ำคืน


บรรยากาศ​ที่พักของเราตอนกลางคืน


ร้านอาหารริมหาดของที่พัก มีดนตรีสดด้วยค่ะ แต่ไม่รู้มีทุกคืนรึเปล่านะคะ



อาหารมาแล้วค่ะ


เริ่มจากมะพร้าวปั่น อร่อยจนต้องสั่งอีก



ตามด้วยข้าวผัดปู ไซส์ S 100 บาท ถึงจะมองไม่ค่อยเห็นปู แต่มีปูเกือบทุกคำค่ะ เราชอบที่เขาหั่นหอมใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ เรากินหอมใหญ่ไม่ค่อยได้ แต่ก็อยากจะกินเอาประโยชน์​จากมัน พอหั่นเล็กๆ แล้วช่วยให้กินง่ายขึ้นค่ะ



ปิดท้ายด้วยสลัดกุ้งทอด 200 บาท นี่ก็อร่อยค่ะ


กินคนเดียวแต่สั่งเหมือนกินสองคน แล้วปริมาณคือมาตรฐาน สมราคา ไม่ได้น้อยเลย แต่ก็กินหมดนะคะ คิดว่าคงเป็นเพราะเราคลื่นไส้จนกินอะไรไม่ลงมาทั้งวัน พอกินได้ก็เลยกินชดเชยสารอาหารที่ขาดไป

สำหรับเรา อาหารที่สั่งมาอร่อยหมดเลยค่ะ แต่รสอร่อยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่ามันถูกปากเราแล้วกันค่ะ



ประมาณ 2 ทุ่ม 15 นาที เรากินข้าวผัดหมดแล้ว เริ่มกินสลัดกับกุ้งไปได้ประมาณตัวสองตัว โชว์กระบองไฟก็เริ่มขึ้นค่ะ






โชว์กินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ ระหว่างที่โชว์มีคนจากที่อื่นมาดูด้วยเหมือนกัน แต่มายืนดูข้างๆ ไม่ได้บังลูกค้าของร้าน และทางร้านก็ปล่อยให้ดู คิดว่าเขาคงไม่ว่าอะไร ตราบใดที่ไม่บังลูกค้าเขา

มีช่วงเวลาที่เข้าไปเล่นกับคนดูด้วย แถวหน้านี่น่าจะเล่นทุกโต๊ะเลยมั้งคะ แม้แต่โต๊ะข้างในเขาก็เข้าไปเล่นด้วย โชว์เสร็จจะมีบริการพิเศษ เขาจะทำไฟให้ถ่ายรูปแบบทีละคนเลย โดยจะทำตรงหาดหน้าร้าน ไม่ได้รบกวนคนที่ทานอาหาร ใครจะเข้าไปขอถ่ายก็ได้ ระหว่างนั้นเขาจะวางกล่องทิปไว้ แล้วแต่ว่าใครจะให้เท่าไหร่ค่ะ


หลังจากโชว์จบ เราก็นั่งกินสลัดต่อ คณะโชว์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้อีกทีก็สังเกตเห็นว่าร้านที่อยู่ห่างออกไปก็มีโชว์กระบองไฟเหมือนกัน ดูทรงเหมือนคนที่โชว์ที่ร้านเรา เลยคิดว่าเขาน่าจะเป็นนักแสดงอิสระที่ทางร้านดีลมา ไม่ใช่คนของที่ร้าน เสร็จจากร้านเราก็ไปโชว์ร้านอื่นต่อ


กินสลัดหมดก็สั่งค็อกเทลมาปิดท้าย


บลูมาการิต้า 250 บาท

กินเสร็จก็เรียกเก็บเงิน กลับห้อง อาบน้ำ นอน เป็นอันจบวันนี้ค่ะ



รู้สึกเหมือนไม่ค่อยได้เที่ยว ไม่ค่อยได้เล่นอะไรเท่าไหร่ แค่เดินทางก็ล่อไปครึ่งวันแล้ว แถมยังไม่สบายอีก แต่ก็มีความสุขมากค่ะ ได้ดูวิวสวยๆ ได้เอาตัวไปจุ่มน้ำทะเล ได้กินของอร่อยๆ นอนโรงแรมดีๆ บรรยากาศ​ดีๆ ได้เจอคนใจดี ก็ทำให้ลืมเรื่องแย่ๆ ที่เจอมาได้ค่ะ



แล้วพบกันใหม่โพสท์หน้า สำหรับบันทึกการเดินทางของวันถัดไปนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ค่ะ 🙏✨



Update ⤴️
อ่านบันทึกการเดินทางของวันถัดไปได้ที่นี่เลยค่ะ