วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

โตเกียว ฝนตกแล้วไปไหน



เมื่อเราจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมไปเที่ยวโตเกียวช่วงใบไม้เปลี่ยนสี แล้วปรากฏว่าฝนตกหนักทั้งวันทั้งคืนตลอดทริป แพลนที่จะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีคือพังทลาย แต่เราไม่ได้เสียค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรมมาเพื่อมานอนเน่าอยู่ในโรงแรมตลอดทริป การเที่ยวแบบอินดอร์คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด



เราอยู่โตเกียว 3 วันก่อนมูฟไปไอจิ วันแรกอากาศดีมาก แต่ติดดูคอนเสิร์ต วันที่ 2-3 ที่ตั้งใจไปดูใบไม้แดงฝนตกหนักตลอด เลยต้องตัดใจค่ะ




กิจกรรมอินดอร์แรกที่เราทำคือดูหนังค่ะ เราไปช่วงที่ FROZEN​ 2 เข้าฉายที่ญี่ปุ่นพอดี หนังใหม่ที่ญี่ปุ่นจะเข้าวันศุกร์ค่ะ ช้ากว่าไทย 1 วัน




เราไปดูที่ AEON Cinema ที่ห้าง WORLD PORTERS มินาโตะมิไร (Minatomirai)​ โยโกฮาม่า (Yokohama) โรงหนังเขาดูดีทีเดียวค่ะ เราว่าก็ดูไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่นะ เพียงแต่อาจจะมีพื้นที่ไม่มากนัก เลยไม่มีที่นั่งรอสวยๆ ให้ เราก็ไปนั่งของห้างแทนอะค่ะ ที่นี่เขาจัดสวยทีเดียว


เราเลือกดูแบบเสียงอังกฤษ ซับญี่ปุ่น สกิลทั้งสองภาษานี้ก็ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็พอถูๆ ไถๆ ไปได้ ดูรู้เรื่องอยู่ วิธีดูว่าหนังเรื่องไหนเป็นแบบซับ เรื่องไหนเป็นแบบพากย์ คือ ถ้ามีตัวอักษรต่อท้ายประมาณนี้ 字幕 (Jimaku) จะเป็นแบบซับ แต่ถ้ามีตัวอักษรต่อท้ายแนวๆ นี้ 吹替 (Fukikae) จะเป็นแบบพากย์ค่ะ


ชื่อหนังที่ญี่ปุ่น จะเป็นตัวอักษรญี่ปุ่นหมด ยกเว้นบางเรื่อง แต่ก็มีน้อยจริงๆ ถ้าใช้ทับศัพท์​ภาษาอังกฤษ​ ก็จะใช้ตัวอักษร​ญี่ปุ่นทับศัพท์ไป ถ้าใครไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย ก็จำลักษณะตัวอักษรจากโปสเตอร์หนังไปซื้อเอาแล้วกันค่ะ


การซื้อตั๋วหนังที่นี่ต้องซื้อที่ตู้ขายตั๋วค่ะ โชคดีที่มีเมนูภาษาอังกฤษให้ แต่ชื่อหนังก็เป็นอักษรญี่ปุ่น​อยู่ดี สามารถจ่ายค่าตั๋วด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ เงินสดก็ใส่เงินเข้าไปในตู้เลย ส่วนบัตรเครดิต เราไม่รับประกันว่ามันจะรับบัตรจากต่างประเทศ​ทุกชนิดนะคะ เพราะเราจ่ายด้วยเงินสดค่ะ


ค่าตั๋วหนัง 1,800 เยน นี่คงเป็นราคาเต็ม เพราะเป็นหนังใหม่ด้วย แต่ญี่ปุ่นเขาก็มีวันจัดโปรลดราคาตั๋วเหมือนกันนะคะ


เข้าโรงหนัง จะมีพนักงานฉีกตั๋วอยู่ตรงทางเข้า เราไม่รู้ว่าญี่ปุ่นเขามีขนาดโรงหลากหลายอย่างบ้านเรามั้ย แต่โรงที่เราเข้าไปดูเป็นโรงเล็กค่ะ ดูอบอุ่นมาก อาจเพราะแบบซับไม่ค่อยเป็นที่นิยม ตำแหน่งจอกำลังดี แม้นั่งไม่สูงนักก็ไม่รู้สึกเงย แต่รู้สึกจอเล็กแปลกๆ โฆษณาก่อนหนังเริ่มเขาก็มีนะคะ แต่ไม่น่าจะนานเท่าไทย


โรงหนังที่ญี่ปุ่น​เป็นแบบเลือกที่นั่งตั้งแต่ตอนซื้อเลยเหมือนของไทย ก็กดเลือกที่ตู้ตอนซื้อได้เลยค่ะ




นี่คือห้าง WORLD​ PORTERS ที่โยโกฮาม่าค่ะ เราถ่ายรูปไว้ตั้งแต่วันที่อากาศ​ดี


ที่ห้างนี้มีร้านร้อยเยนที่ชื่อว่า Seria อยู่ด้วยค่ะ เราชอบมาก ร้านสวยจนไม่คิดว่าเป็นร้านร้อยเยน ตอนแรกเรานึกว่าเป็นร้านเครื่องสำอางด้วยซ้ำ ใครชอบของใช้ดีไซน์สวยๆ แนะนำเลยค่ะ


ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นร้านร้อยเยน แต่จริงๆ ชิ้นละ 110 เยนนะคะ ด้วย VAT ปัจจุบัน ทางร้านเขาก็คงสู้ต้นทุนไม่ไหว แต่ก็ถูกอยู่ดี อย่าลืมว่าร้านพวกนี้มาไทยขายชิ้นละ 60 บาทเลยนะ


เอาจริงๆ WORLD​ PORTERS​ ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับวันฝนตกนักหรอกค่ะ เพราะจากสถานีรถไฟมินาโตะมิไรต้องเดินไกลพอสมควรเลย ต้องเดินข้ามสะพานข้ามน้ำไปอีก ยิ่งถ้าฝนตกหนัก มีลมพัดแรงยิ่งแย่ค่ะ แต่ห้างค่อนข้างใหญ่ ดูเป็นห้างที่ไม่น่าเบื่อดีอะค่ะ ถ้ามาวันฝนไม่ตก จะเดินเที่ยวรอบๆ ได้อีก ซึ่งสวยมากค่ะ


ส่วนนี่คือภาพบรรยากาศแถวมินาโตะมิไรที่เราถ่ายมาในวันที่อากาศดีค่ะ




ลานหน้า Queen's Square​ (?)​ ทางออกจากสถานี Minatomirai



Pacifico Yokohama ฮอลล์จัดคอนเสิร์ต​ที่เราไปดูค่ะ



สวนสาธารณะ​แถว WORLD​ PORTERS




ตึก Landmark Tower

แถวนี้มีรถบัสสะเทินน้ำสะเทินบกให้นั่งเล่น
ชมวิวด้วยนะคะ แต่ไม่รู้ที่ขึ้นอยู่ตรงไหนนะ เราเห็นแค่ตอนมันวิ่งขึ้นจากน้ำเฉยๆ



ตรงนี้น่าจะเป็นสะพานรถไฟเก่า มีรางรถไฟอยู่ที่พื้นด้วยค่ะ




เรือนิปปงมารุ (NIPPON MARU)
ช่วงที่เรามาเขาเอามาจอดและเปิดให้เข้าชมพอดี ค่าตั๋วเข้าชม 400 เยน



ชิงช้าสวรรค์​ หนึ่งในแลนด์มาร์ค​ของโยโกฮาม่า ทำหน้าที่เป็นหอนาฬิกาด้วย ตอนกลางคืนจะเปิดไฟสวยๆ พอครบรอบชั่วโมงจะมีเสียงเพลงดังขึ้นมาพร้อมแสดงไฟค่ะ


อ่ะ กลายเป็นรีวิวโยโกฮาม่าไปซะได้ แต่ก็ช่างเถอะ 5555




มาต่อกันที่แห่งที่สอง โอไดบะค่ะ โอไดบะที่เราคิดมาตลอดว่าไม่มีอะไร แต่มี teamLab อยู่ที่นั่น เราเห็นศิลปินที่เราตามอยู่ไปเที่ยวแล้วถ่ายรูปมาสวยมาก เลยอยากลองไปดูสักครั้งค่ะ


แล้ว...Google Map มันบอกว่า teamLab อยู่ที่ห้าง Venus Fort เราเลยไปห้างนั้น


การเดินทางไป Venus Fort สามารถขึ้นรถไฟสายยูริคาโมเมะ (Yurikamome) ไปลงที่สถานีอาโอมิ (青海 : Aomi) หรือขึ้นรถไฟสายริงไค (Rinkai) ไปลงที่สถานี Tokyo Teleport ก็ได้ค่ะ แต่สถานีอาโอมิของยูริคาโมเมะจะใกล้กว่าและมีทางเชื่อมเข้าห้างเลยค่ะ แต่ถ้าฝนตกก็ต้องกางร่มอยู่ดีนะ เพราะมันมีจุดที่ไม่มีหลังคาอยู่


เข้า Venus Fort มา บอกตรงๆ ว่าตะลึงค่ะ ไม่คิดว่าจะสวยขนาดนี้ เขาตกแต่งเป็นแนวช็อปปิ้งสตรีทในยุโรป มีทางเดินเป็นเหมือนถนน มีอาคารร้านค้าสองชั้นขนาบข้าง เพดานเป็นลายท้องฟ้า แสงจะออกสลัวๆ หน่อย








ถือเป็นห้างที่ตอบโจทย์วันฝนตกได้ดีมากค่ะ เมื่อฝนตกจนเที่ยวกลางแจ้งไม่ได้ การตกแต่งของที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ข้างนอก โดยที่ไม่เปียกและไม่หนาว เพราะจริงๆ แล้วเราอยู่ในอาคาร


เราไม่แน่ใจว่าปกติเขาประดับไฟมากมายขนาดนี้มั้ย หรือเป็นเพราะเราไปช่วงปลายเดือนพฤศจิกา​ ที่ญี่ปุ่น​เริ่มประดับไฟ​เฉลิมฉลอง​วันคริสต์มาส​กันแล้ว




หลังจากเดินวนใน Venus Fort มาหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอ teamLab เลยลองเปิด Google​ เช็คดูอีกครั้ง คราวนี้เช็คกับเว็บของทีมแล็บเองเลย ปรากฏว่าตำแหน่งใน Google Map มันผิดค่ะ!


teamLab ไม่ได้อยู่ใน Venus Fort แต่ก็อยู่ใกล้ๆ กันนั่นแหละ เราต้องออกมาข้างนอก Venus Fort ก่อน จะเห็นอาคาร Megaweb​ Toyota อยู่ เราไม่แน่ใจว่ามีทางเดินข้างนอกมั้ย แต่เราเดินตัดผ่านเข้าไปในนั้นเลย ข้างในจะเป็นเหมือนที่จัดแสดงรถของโตโยต้า มีโซนกิจกรรม มีรถให้ลองขับเล่นในนั้นเลย พอออกมาจะเจอชิงช้าสวรรค์ ทางเข้าทีมแล็บจะแอบๆ อยู่หลังชิงช้าสวรรค์อะค่ะ แต่ตอนนี้เหมือนตำแหน่งใน Google Map จะถูกต้องแล้วนะ


ตอนที่เราไป ทางเข้าจะงงๆ หน่อย ประตูทางเข้าไปดูงานกับประตูทางเข้าไปซื้อตั๋วจะอยู่ข้างกัน แล้วเราเข้าผิดประตู มันก็เป็นอาคารเดียวกัน ห้องเดียวกันนั่นแหละค่ะ แต่เขากั้นโซนและให้เข้าคนละประตูกันไปเลย


ตั๋วทีมแล็บสามารถซื้อล่วงหน้าทางเว็บได้ หรือจะไปกดซื้อที่ตู้หน้างานเลยก็ได้ค่ะ 

ค่าตั๋ว
ผู้ใหญ่ (15+)    3,200 เยน
เด็ก (4 -​14 ปี)​   1,000 เยน
คนพิการที่มีใบรับรองและผู้ดูแล 1 คน คนละ 1,600 เยน


ของที่นี่เขาจะเรียกว่า teamLab Borderless​ นะคะ คือมันยังมี teamLab อื่น ที่อยู่ที่อื่นอีกน่ะค่ะ


แถวซื้อตั๋วไม่ค่อยมีคนค่ะ อาจเพราะคนส่วนใหญ่ซื้อตั๋วล่วงหน้าออนไลน์มาแล้ว แต่แถวเข้างานคือยาวมาก ยาวจนฝรั่งอุทานว่า Oh My God!


แต่ก็รอไม่นานนะคะ เขาจะกั้นคนและปล่อยให้เข้าไปเป็นชุดๆ ก่อนเข้าจะให้ดูวิดีโอแนะนำวิธีปฏิบัติตนระหว่างเข้าชมงานด้วย มีภาษาอังกฤษให้ค่ะ สตาฟก็ดูจะเก่งภาษาอังกฤษ​ด้วย เพราะชาวต่างชาติ​เยอะ


เข้าไปข้างในจะมีห้องล็อคเกอร์ให้เก็บร่ม เก็บกระเป๋าหรือสัมภาระที่ไม่จำเป็น ห้ามนำอาหาร-เครื่อง​ดื่ม​เข้าไป สามารถนำกล้องเข้าไปถ่ายรูปได้ ข้างในจะมืดมาก และมีพื้นต่างระดับ เวลาเดินต้องระวัง ไม่มีลูกศรนำทางว่าจะต้องเดินไปทางนั้นทางนี้ สามารถเดินชมงานได้อย่างอิสระ แต่เขามีลูกศรบอกทางออกให้นะคะ


ข้างในก็จะประมาณ​นี้ค่ะ เราแอบเรียกว่านิทรรศการ​ศิลปะแนวใหม่ เขาจะใช้โปรเจคเตอร์​ฉายภาพในที่มืด ภาพก็จะไหลไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ห้องแรกที่เราเข้ามาเป็นห้องดอกไม้ค่ะ ก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้แบบนี้









ต่อด้วยห้องที่เราเรียกว่าห้องเสาแห่งแสง ห้องนี้พื้นจะเป็นกระจก ใครใส่กระโปรงมาเขาจะมีผ้านุ่งทับให้ยืมค่ะ







ห้องนี้เป็นห้องเมืองเล็กๆ เขาจะมีวัตถุรูปต่างๆ ให้เราย้ายเล่น อย่างย้ายบ้านไปตั้งกลางป่า จากป่าโล่งๆ ก็จะมีถนนตัดเข้าไปที่บ้าน ย้ายสถานีรถไฟไปวางอีกที่ก็จะมีทางรถไฟเข้าไป เป็นห้องที่สนุกดีค่ะ ตอนแรกนึกว่าห้องเด็ก แต่ผู้ใหญ่​ก็เล่นกัน





โซนเด็กเล็กก็มี





โซนออกกำลังกาย

อันนี้จะเป็นคล้ายๆ ชิงช้าเตี้ยๆ ผูกติดกันเป็นกลุ่มๆ มีความต่างระดับ ให้เหยียบแล้วย้ายไปอันอื่นเรื่อยๆ ต้องใช้ทักษะการทรงตัว แถมยังมีไฟหลอกให้ดูเหมือนชิงช้าพวกนี้กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วด้วย ทั้งที่จริงๆ มันก็อยู่กับที่นั่นแหละ



ส่วนอันนี้เราเรียกว่าป่าเรืองแสง ให้ปีนต้นไม้สองฝั่งไปเรื่อยๆ จนสุดทาง จริงๆ มันมีกฎของมันอยู่ ให้เหยียบหรือไม่ให้เหยียบสีเดียวกันก็ไม่รู้ ฟังไม่ค่อยออก แต่ไม่มีการลงโทษอะไร และไม่มีใครว่า เราก็เลยปีนๆ ไปเหอะ



ห้องบอลลูน ที่จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ​




สไลเดอร์ เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่​เล่นดี ให้คุณรู้สึกเหมือน 4 ขวบอีกครั้ง ลงทีละ 4 คน มีสตาฟคอยให้สัญญาณ​ ตอนไถลลงจะมีเอฟเฟคพลุ ดอกไม้บาน ผลไม้ถูกผ่ากระจัดกระจายแบบ Fruit Ninja





เดินไปนานๆ ชักคอแห้ง เลยคิดจะออก แต่ดันออกไปเจอ EN TEA HOUSE อ่ะ งั้นก็ดื่มชากันซะเลย แถมเขายังเคลมว่าเป็นการสัมผัสประสบการณ์​ใหม่ของการดื่มชาด้วย ไหนมาดูซิว่าจะเป็นยังไง


เริ่มแรกเมื่อเดินเข้ามา จะมีเคาน์เตอร์​ต้อนรับอยู่ค่ะ เราต้องสั่งชาและจ่ายเงินตรงนี้เลย มีเมนูชาให้เลือก แต่ไม่หลากหลายเท่าไหร่ สามารถสั่งเป็นแบบรีฟิลได้ โดยเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย เราสั่ง Green Tea with Yuzu แบบเย็น 1 ถ้วย ราคา 500 เยนค่ะ เขาจะให้ชาแบบแห้งในแคปซูลเล็กๆ มา ตอนที่เราไปคนเต็ม ต้องนั่งรอข้างหน้าก่อนค่ะ เขาจัดที่นั่งรอไว้ให้ด้วย




พอมีที่ว่าง สตาฟก็จะเรียกเราเข้าไป


ข้างในก็มืดๆ มีโต๊ะยาวรูปตัว U ตั้งเรียงกัน คนก็นั่งเรียงกัน โดยพนักงานจะเข้ามาบริการทางช่องว่างตรงกลางของโต๊ะ ที่โต๊ะจะมีถ้วยชาเปล่าตั้งไว้ให้คนละใบ




พนักงานจะเดินมารับแคปซูลชาจากเราไปชงให้ สักพักก็กลับมาพร้อมชาในเหยือกสำหรับ 1 เสิร์ฟ แล้วเทใส่ถ้วยให้เรา


พอเขาเติมชาให้ ดอกไม้ก็เริ่มเบ่งบานในถ้วยชา ปล่อยไว้สักพักก็บานเต็มถ้วยค่ะ




พอเรายกถ้วยชาขึ้นดื่ม กลีบดอกไม้จะกระจายออก และเมื่อเราวางถ้วยลงบนโต๊ะอีกครั้ง ดอกไม้ก็จะเริ่มเบ่งบานในถ้วยอีกครั้งค่ะ


มันว้าวมาก ถือว่าได้สัมผัสประสบการณ์​ใหม่ของการดื่มชาอย่างที่เขาเคลมไว้จริงๆ ค่ะ


Green Tea with Yuzu ที่เราสั่งมาเป็นแบบชาเขียวมัทฉะสีเขียวเข้มข้น มีฟองสีขาวปิดหน้าที่ช่วยให้แสดงงานศิลปะในถ้วยชาได้ดี ความเย็นและกลิ่นของส้มยูสุช่วยเติมความสดชื่นจากความเหนื่อยล้าจากการเดินเที่ยวได้ดีทีเดียวค่ะ


ดื่มชาเสร็จก็ออก เพื่อให้คนอื่นได้เข้ามาต่อ เราออกจาก teamLab ไปเลย เพราะสมควรแก่เวลาแล้ว ที่ทีมแล็บนี้ออกแล้วออกเลยนะคะ ใช้ตั๋วเดิมเข้าอีกไม่ได้แล้วนะ ออกไปก็อย่าลืมของที่ฝากไว้ที่ห้องล็อคเกอร์หละ เพราะเราก็เกือบลืมแล้ว




ปิดท้ายด้วยข้าวแกงกะหรี่อบชีสจากร้าน STEAK &​ CAFE by Dexeediner



ที่ Venus Fort มีร้านอาหารน่าสนใจเยอะมากค่ะ พูดง่ายๆ คือวันฝนตกไม่รู้ไปไหน มาสิงอยู่ที่นี่ที่เดียวเลยก็ได้ค่ะ




จบแล้วค่ะ กิจกรรมเบาๆ วันฝนตก 2 วันของเรา จริงๆ ยังมีที่อื่นอีกที่เร​าไปหาข้อมูลมา เช่น ถ้าใครชอบเล่นเกมหรือสวนสนุก สามารถไปสวนสนุกในร่มที่ JOYPOLIS ได้ค่ะ อยู่โอไดบะเหมือนกัน แต่คนละสถานีกัน ก็หวังว่านี่จะพอเป็นแนวทางให้คนที่ไม่รู้จะไปไหนดีเมื่อไปโตเกียวแล้วเจอฝนตกนะคะ (^_^)








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น