วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 2.2 : Nagoya Castle - Osu - Sakae

Nagoya Castle





เริ่มต้นจากสถานีนาโกย่า ขึ้น Subway สาย Sakura-dori ไปลงที่สถานี Hisaya-Odori เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย Meijo ไปลงที่สถานี Shiyakusho (City Hall) ซึ่งเป็นโซนที่ตั้งของปราสาทนาโกย่า


 Subway Sakura-dori Line

 Subway Meijo Line



 ทางเข้าออกสถานีรถไฟใต้ดิน Shiyakusho


ออกมาเจอแยก City Hall เป็นแยกใหญ่ เห็น City Hall อยู่อีกฝั่ง ถ่ายรูปกันอยู่สักพัก หิมะก็ตกลงมาอีก และตกหนักมาก เลยรีบเดินไปปราสาทกัน ค่าเข้าปราสาท คนละ 500 เยน สำหรับผู้ใหญ่ ไม่มีราคาชาวต่างชาติเหมือนบางประเทศ เข้าไปใช่ว่าจะถึงเลยนะ เดินกันอีกยาวววว


 แยกศาลากลาง เป็นแยกใหญ่ทีเดียวค่ะ คำว่า Shiyakusho (市役所) ในภาษาญี่ปุ่นก็คือศาลากลางนั่นเอง

บริเวณรอบๆสถานี หิมะเริ่มตกอีกแล้ว

แล้วก็เจอสวนบ๊วยก่อน ถึงจะมีแค่กิ่งโล้นๆก็เหอะ แต่ก็ลั้นลากันอยู่พักใหญ่ๆ หิมะยังคงตกหนักอยู่ตลอด เดินไปถ่ายรูปไป กว่าจะได้เข้าไปในปราสาท เท้าก็แข็งไปหมดแล้ว













ในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์ เข้ามาจะเจอปลาสีทองตัวใหญ่ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของที่นี่ ใครๆก็ต้องถ่ายรูปกัน ปลานี่เหมือนจะเป็นเทพารักษ์ของปราสาทรึไงนี่แหละ มี 2 ตัว อยู่บนยอดของปราสาท เข้าไปจะเจอข้อมูลประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โชกุน ขุนนางต่างๆ เงินตรา และการจำลองวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่นในสมัยก่อน ก็ตามสไตล์พิพิธภัณฑ์นั่นแหละ มีชั้นนึงมีการหรี่ไฟเป็นเวลาให้เหมือนกลางวัน-กลางคืนด้วย และทำพื้นให้ดูเหมือนดิน ในปราสาท มีบันไดแยกฝั่งขึ้นกับลง และมีลิฟท์ให้ ชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวกับร้านขายของที่ระลึก


วิวจากชั้นบนสุดของปราสาท



 ฟ้าหลังหิมะ สดใสเชียว

กลับออกมา หิมะหยุดตกแล้ว ฟ้าใส แดดดียังกะคนละโลกกับตอนเข้าไป แต่ลมแรงมากกกกก ลมแรงๆ บวกอากาศหนาวๆ คือหนาวสุดๆ และแดดไม่ช่วยอะไรเลย เราถ่ายรูปเล่นกันสักพัก ก็ออกเดินทางสู่สถานีต่อไป


  ศิลปะบนพื้น เจออยู่ตรงทางออก

 ออกมาคนละทางกับที่เข้าไปค่ะ เดินกันไกลพอตัวเลย

แวะถ่ายรูปศาลากลางอีกสักมุม




Osu-Kannon



ตอนบ่ายๆ เราย้ายไปย่านโอสึกันต่อ ขึ้น Subway สาย Meijo จากสถานี Shiyakusho ไปลงที่ Kamimaezu เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย Tsurumai ไปลงที่สถานี Osu-Kannon







สถานี Osu-Kannon เป็นที่ตั้งของวัด Osu-Kannon และย่านโอสึ ที่เป็นแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่ ไปถึงก็ไปลุยย่านโอสึหาอะไรกินกันก่อน เดินหากันอยู่นานพอสมควร เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ และเราต้องการอาหารหลัก แต่จะเจอแต่ร้านขนมและของกินเล่นซะส่วนใหญ่ แถมอากาศยังหนาวทะลวงไส้อีก เลยอยากกินราเมงให้มันอุ่นๆ สุดท้ายก็เจอร้านราเมงราคาย่อมเยา ที่ดูเหมือนร้านแฟรนไชส์ ชื่อ Sugakiya อร่อยดีค่ะ แต่เส้นเยอะมากกกก แป้งเยอะมากกกก โปรตีนกระจึ๋งนึง บางเมนูนี่กินข้าวกับราเมงด้วยค่ะ บางคนตักข้าวเพิ่มอีก บร๊ะเจ้า!! คนญี่ปุ่นนี่เกิดมาเพื่อย่อยแป้งกันรึไง แล้วไม่อ้วนด้วยนะ กินเสร็จออกมานอกร้าน เหมือนจะหนาวขึ้นอีก ก็เดินๆกันไป ที่นี่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ อย่างที่บอกว่ามันหนาวมากกกกก เอามือออกจากกระเป๋าเสื้อแป๊บเดียวก็แข็งแล้ว


ราเมงร้าน Sugakiya ชื่ออะไรไม่รู้ ใช้วิธีจิ้มรูปเอา ราคา 380 เยน

เดินๆไปเจอร้าน ABC-MART เป็นร้านรองเท้าที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น เลยแวะซื้อรองเท้าใหม่ไว้ไปลุยหิมะที่ทาคายาม่าซะหน่อย จริงๆก็ใส่กันตั้งแต่นาโกย่านั่นแหละ รองเท้าผ้าใบที่ใส่ไปมันไม่ได้กันหนาว เท้าแข็งไปหมด พอเปลี่ยนมาใส่คู่นี้แล้วอุ่น เดินสบายเลย แต่...มันเสริมส้นอะ แล้วเรากับเพื่อนไม่ใส่ส้นสูงกันทั้งคู่ ร้าวไปทั้งขาเลยค่าาาาา T-T


Hawkins grace garden Snow Boots คู่ละ 6,372 เยน

เดินต่อไป บังเอิญหันไปเจอซอก มีร้านขายของที่ให้ความรู้สึกเหมือนตลาดสดบ้านเรา แล้วก็ได้สตรอว์เบอร์รี่มาแพ็คนึง ราคา 450 เยน(ไม่รวมภาษี) หอมหวาน เนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ คือฟินมากกกกก มันก็ไม่ได้หวานอะไรนักหนาหรอก รสหวานอ่อนๆ และไม่เปรี้ยวจนแสบลิ้นเหมือนของบ้านเรา







เดินต่อไปก็เจอร้านดังโงะ มีให้เลือกระหว่างมิตาราชิดังโงะ (ดังโงะกับซอสถั่วเหลืองปรุงรสแบบที่เราเคยกินกันนั่นแหละค่ะ) กับคินาโกะดังโงะ (จุ่มซอสแล้วคลุกผงถั่วเหลืองอีกที) ไม้ละ 90 เยน อร่อยมากกกกก ปกติไม่ชอบดังโงะเพราะซอสมันนี่แหละ มันเหม็นๆคาวๆยังไงก็ไม่รู้ แต่ซอสเจ้านี้อร่อย คนขายเป็นคุณลุงแก่ๆ ดูเป็นร้านเก่าแก่ ลูกค้าก็เป็นคนเก่าแก่ เหมือนอุดหนุนกันมาตั้งแต่เด็กๆ







หลุดออกมาจากย่านโอสึ ก็ไปต่อกันที่วัด Osu-Kannon ได้ลองขอพรแบบที่คนญี่ปุ่นเขาทำกันด้วย ยืนดูคนญี่ปุ่นทำอยู่ 2-3 รอบ จำสเต็ปเขาแล้วทำตาม ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดีอะ ชอบๆ นี่ขอเป็นภาษาไทยไป ไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นจะเข้าใจรึเปล่า ฮ่าๆๆ






แล้วที่วัดนี้จะมีฝูงนกพิราบอยู่ มีตู้ขายอาหารนกพิราบด้วย ดูเหมือนคนที่ผ่านมาจะเอ็นดูพวกมันกันเหลือเกิน จะต้องวิ่งเข้าไปไล่ให้มันบินกันพรึ่บพรั่บตลอด ฮ่าๆๆ นกพิราบญี่ปุ่นต่างจากไทยมั้ย ก็...เหมือนๆกันแหละ แต่มันจะดูอ้วนกว่า ขนหนาฟูกว่า คงเป็นเพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับอากาศหนาวหละนะ









Sakae Area









เรากลับไปงีบที่โรงแรมกันก่อน เพราะเหนื่อยมากจริงๆ พอค่ำๆก็ออกไปต่อกันที่ซาคาเอะ เริ่มต้นกันใหม่ที่สถานีนาโกย่า นั่ง Subway สาย Higashiyama ไปลงที่ซาคาเอะได้เลย


 ก่อนไปแวะถ่ายรูปนิดนึง ตึกอะไรสักอย่างแถวๆสถานีนาโกย่า รูปทรงบิดเป็นเกลียวดูแปลกตาดี

ซาคาเอะเป็นย่านที่ดูใหญ่โต ไฮโซ วูบวาบ คือมันมีหลายอารมณ์มาก แล้วแต่พื้นที่ รวมทั้งมีย่านโอตาคุด้วย ดูเป็นย่านเศรษฐกิจของนาโกย่าอะ เพิ่งรู้ว่าไม่ได้ถ่ายมุมวูบวาบมา ไม่รู้พลาดไปได้ไง สงสัยหนาวจัด







แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ เจอ Nagoya TV Tower ก็เดินตามหามุมถ่ายรูปไป แต่ไม่ได้ขึ้นหรอก เดินต่อไปเจอสวนสาธารณะ Central Park เป็นจุดที่เห็นวิว TV Tower สวยที่สุด แต่สวนดูเสื่อมโทรมแปลกๆ





ข้ามถนนไป เป็น Oasis 21 เป็นศูนย์การค้าที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของนาโกย่า แต่ก็เงียบๆร้างๆแปลกๆ หรือเพราะเราไปดึกเกินไป ตอนนั้นน่าจะประมาณ 2-3 ทุ่มแล้ว ร้านค้าบางส่วนอาจจะปิดแล้ว มันเลยเงียบๆ Spaceship Aqua ที่อยู่ข้างบนก็ปิดแล้วเหมือนกัน


 Oasis 21

Nagoya TV Tower & Oasis 21

ความรู้สึกของเรา โซน TV Tower, Central Park, Oasis 21 ดูน่าจะเป็นแลนด์มาร์คของนาโกย่า แต่ถูกปล่อยปละละเลยจนโทรม เพราะไม่ฮิตรึไงก็ไม่รู้ ย่านซาคาเอะยังดูดีกว่า ดูเจริญกว่าอะ เดินกันไม่นานก็กลับมา กลัวรถหมด ไม่แน่ใจว่ารถไฟหมดกี่โมง



กลับมาก็มาลงที่ร้านหยอดตู้เหมือนเดิม เพื่อนบอกว่าร้าน(แฟรนไชส์)เดียวกัน แต่อยู่คนละตำแหน่ง วันนี้เป็นข้าวแกงกะหรี่หมูทอด อร่อยดีค่ะ ราคาเท่าไหร่จำไม่ได้ แต่ไม่ถึงพันเยนเหมือนเดิม เข้ามาพร้อมลูกค้าชาวญี่ปุ่นอีกคู่นึง พนักงานมาพูดญี่ปุ่นใส่ คือฟังไม่ออกเลย แล้วนางก็พูดอังกฤษไม่ได้เลย ดีที่คุณลูกค้าญี่ปุ่นนั่นเขาใช้ภาษาอังกฤษได้ เลยมาช่วยอธิบายว่าพนักงานเขามาบอกเรื่องที่นั่ง ว่าเราสามารถนั่งตรงไหนได้มั่ง เพราะร้านค่อนข้างเต็ม แล้วยังช่วยบอกวิธีกดคูปองอาหารให้ด้วย ขอบคุณมากค่ะ กินเสร็จก็กลับห้องไปนั่งนอยด์กันต่อ ช่างเป็นวันที่เหนื่อยจริงๆ T-T



TBC.









ช่วงเมาท์มอยคนญี่ปุ่น


ที่สถานีรถไฟ

โดนคนญี่ปุ่นเดินชนค่ะ ชนแรง ชนจริงจัง ชนจนเซไปเลย คนชนเป็นผู้ชายแบบซาลารี่แมน นางนิ่งมาก นิ่งเหมือนไม่รับรู้ว่าชนใครไปแรงแค่ไหน เพราะงั้นลืมเรื่องคำขอโทษไปได้เลยค่ะ แม้แต่ความรู้สึกผิดก็ยังสัมผัสไม่ได้ เราอาจจะเดินช้าเพราะปวดเท้า เหนื่อย และหนาวมาก แต่เรามั่นใจว่าเราไม่ได้เกะกะขนาดนั้น ที่ข้างๆเราก็ว่างอยู่ กว้างพอสมควรด้วย ก็เบี่ยงหลบไปสิ จะต้องเดินตรงอย่างเดียวเลยหรอ พอบ่นเรื่องนี้กับเพื่อน เพื่อนก็บอกว่านางโดนชนทั้งวันเลย บ้านนี้เมืองนี้มันอะไรกันเนี่ย ตอนสร้างหุ่นยนต์มนุษย์พวกนี้ลืมติดเซ็นเซอร์หลบสิ่งกีดขวางให้หรอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น