ประมาณเกือบๆห้าทุ่ม เราก็มาถึงสนามบินคันไซที่โอซาก้า เครื่อง Thai Air Asia X จะลงที่ Terminal 1 รถไฟเข้าเมืองหมดประมาณห้าทุ่มครึ่ง ดูเหมือนว่ารถธรรมดาขบวนสุดท้ายจะออกจากสนามบินตอน 23:40 ส่วนรถด่วนขบวนสุดท้ายจะออกไปตั้งแต่ 23:29 แล้ว จริงๆมาถึงก่อนห้าทุ่มแบบนี้ยังพอมีหวังว่าจะทันอยู่นะคุณ
แต่!!!
แถวตม.ยาวมากค่ะ เป็นกิโลได้เลยมั้ง ขดแบบขดแล้วขดอีกจนเต็มห้องอะ มาป๊ะกับเครื่องเช่าเหมาลำเข้ารึไงก็ไม่รู้ จะว่าไป ช่วงที่เราไปนี่ก็ตรงกับช่วงสารทจีนพอดีเลยนะ คนจีนเลยแห่มาเที่ยวกันรึเปล่า สุดท้ายกว่าจะหลุดออกไปได้ก็เที่ยงคืนกว่า จำได้ว่าตอนเรามาเข้าแถวเนี่ย เราไม่ใช่คนสุดท้ายนะ มีคนมาต่อเราอีกเยอะเลยหละ แต่เรากลายเป็นคิวสุดท้ายได้ไงก็ไม่รู้ นี่ฉันจะสู้ยืนเมื่อยต่อแถวเป็นชั่วโมงทำไม จะจำไว้เลย ถ้าเจออะไรแบบนี้อีกจะไปหาที่นั่งเล่นนอนเล่นรอชิวๆ แล้วค่อยไปต่อคิวตอนแถวกุดดีกว่า
รอบนี้ผ่านตม.ได้ง่ายขึ้น ไม่รู้เป็นเพราะเรามีเครดิตจากครั้งที่แล้ว เรามีอาชีพแล้ว หรือเพราะเจ้าหน้าที่เหนื่อย แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า คือคนเยอะมากจริงๆ กว่าจะถึงคิวสุดท้ายอย่างเราเจ้าหน้าที่ดูเพลียมาก นางไม่ถามอะไรเลย เปิดๆปั๊มๆเสร็จ ปล่อยเข้าไปเลย
แต่บางทีอาจเป็นทั้งสองอย่างปนๆกันก็ได้ เพราะผู้ชายคนข้างหน้าเรานางมาคนเดียว และดูเป็นประเภทแบกเป้มาตายเอาดาบหน้า เขาไม่ได้จองโรงแรมเอาไว้ คงกะว่าคืนนี้นอนสนามบิน พรุ่งนี้ค่อยออกไปเดินหา และในใบตม.เขาจะให้ใส่ที่อยู่ที่ญี่ปุ่นด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราก็จะใส่ชื่อโรงแรมแรกของเราลงไป เบอร์โทรก็เบอร์โรงแรม แล้วผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้จองโรงแรมเลยไม่มีข้อมูลตรงส่วนนี้ แต่เจ้าหน้าที่บอกให้เขาไปใส่ข้อมูลส่วนนี้มา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะจัดการยังไง เพราะมันดันถึงคิวเราเข้าไปซะก่อน
ต่อไปคือด่านศุลกากร เจ้าหน้าที่ผู้หญิงดูน่ารักและเป็นมิตรยิ้มเชิญเราไปเข้าช่องนางและถามแค่ว่ามาอยู่กี่วัน เราตอบไปว่า 8 วัน แล้วนางก็ปล่อยผ่านไป
ต่อไปคือการรับกระเป๋า สายพานหยุดนิ่ง เขาหยิบกระเป๋าเราออกมาวางไว้ข้างๆสายพานเรียบร้อยแล้ว คว้ากระเป๋าได้ก็วิ่งหาทางออก ออกมาเจอบัสไปนัมบะ ช้อยส์ 2 ของเราหลังจากพลาดรถไฟ เพราะอย่างน้อยนัมบะก็ยังไม่ไกลที่พักเรามากนัก นั่งแท็กซี่ย้อนกลับมาคงไม่แพงเท่าไหร่ มาถึงเจอคนต่อแถวกันยาวเลย วิ่งไปที่ตู้ขายตั๋ว แต่ไม่สามารถซื้อได้แล้ว เวลานั้นน่าจะก่อนรถออกตอนเที่ยงคืนสิบห้าไม่เกิน 5 นาที และบัสนัมบะมีแค่รอบนี้รอบเดียวเท่านั้น
โอเคค่ะ ช้อยส์ที่ 3 หันไปทางขวา เป็นจุดจอดบัสโอซาก้า คนต่อคิวกันเต็มเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าหน่อยตรงที่มันมีมาทุกชั่วโมง ชั่วโมงละคัน รอบแรกเต็มก็รอรอบถัดไปอีก 1 ชั่วโมง (= =") รถรอบเที่ยงคืนออกไปแล้ว เราจึงต้องรอขึ้นรอบตี 1 ก็ซื้อตั๋วจากตู้แล้วไปยืนต่อแถวกับเขา
ค่ารถคนละ 1,550 เยน ไม่ได้ถ่ายตั๋วมา และเขาเก็บไปแล้วเลยเหลือแต่ใบเสร็จ ใบเสร็จนี่เราจะเลือกรับหรือไม่ก็ได้ แต่เราเลือกให้ออกใบเสร็จเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานในการเคลียร์ตังค์กัน เพราะตอนนั้นยังไม่ได้วางเงินส่วนกลาง
โรงแรมที่เราจองไว้เปิดให้เช็คอินถึงเที่ยงคืน ตอนแรกเราคำนวณไว้แล้วว่าคงไม่ทันเที่ยงคืนแน่ๆ ต่อให้ขึ้นรถไฟรอบสุดท้ายทันก็ยังไปถึงหลังเที่ยงคืนอยู่ดี การเดินทางจากสนามบินคันไซเข้าไปในโอซาก้าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราเลยส่งคำขอเช็คอินล่วงเวลาไปเป็นช่วง 1:00 - 2:00 แทน แต่พอเจอบัสรอบตี 1 เข้าไป ช่วงนี้ก็ยังไม่รอดอยู่ดี คิดว่าคราวนี้คงต้องโทรไปหาโรงแรมแล้วหละ แต่สกิลภาษาก็แย่เหลือเกิน แต่มันไม่มีทางเลือกอะ ก็หาเบอร์โรงแรมจากข้อมูลที่เราจองไว้ ตรงจุดรอบัสไปโอซาก้ามีโทรศัพท์สาธารณะพอดี เพราะซิมมือถือเราเล่นเน็ตได้อย่างเดียว ไม่สามารถใช้โทรได้ หลังจากแลกเงินมาใหม่ๆเราจะมีแต่แบงค์ แล้วดันลืมเอาเหรียญที่เหลือจากครั้งก่อนมาด้วย โชคดีที่เพื่อนเอามา ต่ำสุดที่นางมีคือ 100 เยน เครื่องไม่ทอนเงินด้วย ก็หยอดลงตู้มันไป 100 เยนนั่นแหละ โทรไปมีคนรับ เราก็พยายามบอกเขาเป็นภาษาอังกฤษว่ามันมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้เราออกจากสนามบินช้ากว่าปกติ คงไปถึงประมาณตี 3 - 4 เขาก็บอกว่าโอเค ไม่มีปัญหา จบเรื่องโรงแรม.
มาลุ้นเรื่องบัสโอซาก้ารอบตี 1 กันต่อ คือแถวมันยาวมาก และเราอยู่ไกลหัวแถวกันพอสมควรด้วย เจ้าหน้าที่เดินไล่นับคน แล้วก็บอกว่า แถบเราอะ รอคันต่อไปนะ นี่มองหน้ากับเพื่อนละ ยังไงวะ นี่ก็เบลอๆ ก็แอบหวังว่าจะมีรถเสริมให้เพราะคนเยอะขนาดนี้
จนรถมา เจ้าหน้าที่เดินมานับใหม่ แล้วตัดฉับที่เรากับเพื่อนพอดี เป็นสองคนสุดท้ายที่ได้ขึ้นรถรอบตีหนึ่ง เฮ~~ เราก็หันมองคู่รักหนุ่มฝรั่งกับหญิงไทยที่บินไฟลท์เดียวกับเรามา นั่งข้างหลังเราด้วย และ ณ เวลานี้พวกนางก็ยืนต่อคิวถัดจากเราอยู่ เพราะเป็นคนไทยด้วยกันเลยได้คุยกันบ้าง เหมือนเพื่อนร่วมชะตากรรมบ้าๆนี้ คือสงสารพวกนาง ต่อแถวมาตั้งนาน ไม่มีใครอยากยืนรอรถต่อไปอีกชั่วโมงนึงหรอก แล้วนี่ก็ดึกมากแล้ว กว่าจะถึงที่พักไม่เช้าเลยหรอ เจ้าหน้าที่เห็นเราหน้าเสียๆ เลยถามว่าเป็นเพื่อนกันหรอ เพราะถ้ามาด้วยกันจะให้ทิ้งคนในคณะไว้ที่นี่มันก็แปลกๆ เราก็ตอบไม่ถูก คือมันก็ไม่ใช่เพื่อนอะคุณ ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่มันเหมือนเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมอะ แต่สุดท้ายคู่นี้ก็ได้ขึ้นรถรอบตี 1 ไปกับเรานะ เป็นสองคนสุดท้ายพอดีเลย
ก่อนขึ้นรถก็ต้องเก็บกระเป๋าใบใหญ่ๆเข้าใต้ท้องรถก่อน บัสที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่เก็บกระเป๋าให้ค่ะ เขาจะติดแท็กไว้ที่กระเป๋าเรา และจะให้ใบรับกระเป๋าที่เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆมา
ก่อนขึ้นรถเขาจะถามว่าจะลงที่ไหน รถนี่จะจอด 2 จุด คือโรงแรม Hotel New Hankyu กับ Herbis Osaka ซึ่งเราไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน ได้ยินคำว่าโอซาก้า เลือกโอซาก้าไว้ก่อน
ขึ้นไปบนรถ เราได้ที่นั่งเสริมค่ะ คือที่นั่งรถบัสมาตรฐาน จะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 2 ที่นั่ง มีทางเดินตรงกลางใช่มั้ยคะ เราก็นั่งตรงกลางนี่แหละค่ะ ตรงข้างที่นั่งฝั่งคนขับจะมีเก้าอี้เสริมพับเก็บซ่อนอยู่ เราก็ดึงออกมาคลี่ๆออก นั่งได้ เป็นเก้าอี้ตัวเล็กๆ แข็งๆ มีพนักพิงเล็กๆ แข็งๆ นั่งไม่สบายหรอกค่ะ ยิ่งนั่งเป็นชั่วโมงยิ่งไม่สบายเข้าไปใหญ่ แต่แค่ได้ไปและมีที่ให้นั่งก็ดีแล้ว
ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา (ประมาณตีสองกว่าๆ) ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง โรงแรม Herbis Osaka ซึ่งอยู่ถัดมาจากฮังคิวไม่ไกลนัก นั่งรถไม่นาน ลงรถ รับกระเป๋า มีแท็กซี่เข้ามาจอดเทียบรับคนเรื่อยๆ เหมือนรู้งาน พอรถมาจอดตรงหน้าเราปุ๊บ ประตูตอนหลังสำหรับผู้โดยสารก็เด้งออกมาทันที ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าแท็กซี่ญี่ปุ่นไม่มีวันปฏิเสธผู้โดยสาร แต่ด้วยความเคยชิน เราก็อดถามเขาไม่ได้ว่าจะไปส่งเรามั้ย คนขับก็ตอบกลับมาเหมือนจะบอกว่า 'ต้องไปอยู่แล้ว ผมไม่ปฏิเสธผู้โดยสารหรอก'
คนขับลงมาช่วยเรายกกระเป๋าขึ้นท้ายรถ เราพยายามเปิดแอปจองโรงแรมเพื่อบอกพิกัดที่เราจะไปอย่างทุลักทุเล เพราะใช้แอปไม่ค่อยเป็นด้วย แต่เขาก็พอเข้าใจนะ มีให้เราช่วยอ่านบ้าง เพราะมองจอไม่ชัด คนขับจะใส่พิกัดลงในเครื่องนำทาง แล้วก็ขับพาเราไปตามเครื่องนั่นแหละค่ะ ดึกๆถนนโล่ง แท็กซี่โอซาก้าซิ่งใช้ได้เลย นี่ขนาดคนขับเป็นคุณลุงแล้วนะเนี่ย
ระหว่างทางก็มีชวนคุย
คนขับ: มาจากไหนกันครับ
พวกเรา: ไทยค่ะ
คนขับ: ไต้หวัน?
พวกเรา: ไทยแลนด์ค่ะ
คนขับ: อ่อ ไทยแลนด์ ที่เพิ่งมีระเบิดไปใช่มั้ย (เราไปกันหลังจากเกิดเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ไม่น่าเกิน 1 สัปดาห์)
พวกเรา: อ่าาาาา...ใช่ค่ะ (หันไปคุยกันเองว่าเป็นข่าวดังเหมือนกันเนาะ)
คนขับ: น่ากลัวเนาะ
พวกเรา: ใช่ค่ะ น่ากลัวมากกกกกกก
ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงโรงแรมแถวสถานีชินอิมามิยะ น่าจะเกือบๆตีสามได้ เสียค่าแท็กซี่ไป 2,760 เยน หาร 2 ก็ตกคนละ 1,380 เยน ตีเป็นเงินไทยได้ประมาณสี่ร้อยกว่าบาทต่อคน
อ้อ แท็กซี่รอบดึกจะแพงกว่าปกตินะคะ และมีน้อยกว่าด้วย ที่สนามบิน คนต่อคิวรอแท็กซี่กันเยอะทีเดียวค่ะ ทั้งๆที่ค่าแท็กซี่แพงขนาดนี้
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางในโอซาก้าค่ะ
http://www.howto-osaka.com/en/top.html
จริงๆเราสามารถนอนที่สนามบินก่อนได้นะคะ ที่สนามบินคันไซมีเลานจ์ให้บริการมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเลานจ์ของสายการบินหรือเลานจ์ของทางสนามบินเอง ที่มีทั้งเก้าอี้นั่งเล่นในห้องรวม บูธส่วนตัวพร้อมเก้าอี้นวด ห้องส่วนตัวสำหรับคนที่มาเป็นกลุ่ม รวมไปถึงห้องอาบน้ำ หรือแม้กระทั่งบริการนวด และแน่นอนว่าต้องเสียค่าบริการค่ะ
แต่ก่อนเหมือนจะนอนฟรีได้ โดยการนอนตามเก้าอี้นั่งรอในสนามบิน แต่เหมือนเดี๋ยวนี้เขาจะไม่ให้นอนแล้วนะคะ เพราะคนชอบไปจัดเก้าอี้ของเขาเพื่อให้ตัวเองนอนสบายขึ้น แต่กลับไม่ยอมจัดกลับเข้าที่ เขาเลยให้ไปนอนที่ Aeroplaza แทน ซึ่งมันก็คือโซนเลานจ์นั่นแหละค่ะ
และนี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลานจ์ต่างๆในสนามบินค่ะ
http://www.kansai-airport.or.jp/en/service/relax/index.html#_01
จริงๆมาถึงดึกแบบเรานี่ นอนเลานจ์ก็สะดวกดีนะคะ แต่พอคิดว่าเราเหนื่อยกับการเดินทางมามากแล้ว และวันต่อไปตารางเที่ยวก็แน่นเอี้ยด เลยอยากนอนโรงแรมมากกว่า เรารู้สึกว่าต่อให้เก้าอี้นวดในเลานจ์นั่งสบายแค่ไหน ก็สู้การนอนหลับบนที่นอนจริงๆไม่ได้น่ะค่ะ
ที่สนามบินคันไซนี้ก็มีโรงแรมสนามบินอยู่เหมือนกันนะคะ ชื่อ Hotel Nikko Kansai Airport ใครสู้ราคาไหว เชิญค่ะ ดูจากสภาพแล้วหลับสบายหายห่วงแน่ๆ แต่เราสู้ไม่ไหว เลยเข้าไปนอนในโอซาก้าเลยดีกว่า โดยเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟที่มีรถไฟสายนันไคจากสนามบินผ่าน (ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้บริการเพราะไม่ทัน) นั่นคือสถานีชินอิมามิยะค่ะ ดูเป็นทำเลที่ดีค่ะ มีรถไฟหลายสายผ่าน ทั้ง Nankai, JR และรถไฟใต้ดินที่อยู่คนละสถานีแต่เดินไปได้ มีที่พักราคาถูกอยู่ด้วย เราเลยนอนที่นั่นกัน 3 คืนเลยค่ะ
จบแค่นี้สำหรับพาร์ทนี้ พาร์ทหน้าจะพาไปดูโรงแรมที่เราพักกันค่ะ
http://www.howto-osaka.com/en/top.html
จริงๆเราสามารถนอนที่สนามบินก่อนได้นะคะ ที่สนามบินคันไซมีเลานจ์ให้บริการมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเลานจ์ของสายการบินหรือเลานจ์ของทางสนามบินเอง ที่มีทั้งเก้าอี้นั่งเล่นในห้องรวม บูธส่วนตัวพร้อมเก้าอี้นวด ห้องส่วนตัวสำหรับคนที่มาเป็นกลุ่ม รวมไปถึงห้องอาบน้ำ หรือแม้กระทั่งบริการนวด และแน่นอนว่าต้องเสียค่าบริการค่ะ
แต่ก่อนเหมือนจะนอนฟรีได้ โดยการนอนตามเก้าอี้นั่งรอในสนามบิน แต่เหมือนเดี๋ยวนี้เขาจะไม่ให้นอนแล้วนะคะ เพราะคนชอบไปจัดเก้าอี้ของเขาเพื่อให้ตัวเองนอนสบายขึ้น แต่กลับไม่ยอมจัดกลับเข้าที่ เขาเลยให้ไปนอนที่ Aeroplaza แทน ซึ่งมันก็คือโซนเลานจ์นั่นแหละค่ะ
และนี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลานจ์ต่างๆในสนามบินค่ะ
http://www.kansai-airport.or.jp/en/service/relax/index.html#_01
จริงๆมาถึงดึกแบบเรานี่ นอนเลานจ์ก็สะดวกดีนะคะ แต่พอคิดว่าเราเหนื่อยกับการเดินทางมามากแล้ว และวันต่อไปตารางเที่ยวก็แน่นเอี้ยด เลยอยากนอนโรงแรมมากกว่า เรารู้สึกว่าต่อให้เก้าอี้นวดในเลานจ์นั่งสบายแค่ไหน ก็สู้การนอนหลับบนที่นอนจริงๆไม่ได้น่ะค่ะ
ที่สนามบินคันไซนี้ก็มีโรงแรมสนามบินอยู่เหมือนกันนะคะ ชื่อ Hotel Nikko Kansai Airport ใครสู้ราคาไหว เชิญค่ะ ดูจากสภาพแล้วหลับสบายหายห่วงแน่ๆ แต่เราสู้ไม่ไหว เลยเข้าไปนอนในโอซาก้าเลยดีกว่า โดยเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟที่มีรถไฟสายนันไคจากสนามบินผ่าน (ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้บริการเพราะไม่ทัน) นั่นคือสถานีชินอิมามิยะค่ะ ดูเป็นทำเลที่ดีค่ะ มีรถไฟหลายสายผ่าน ทั้ง Nankai, JR และรถไฟใต้ดินที่อยู่คนละสถานีแต่เดินไปได้ มีที่พักราคาถูกอยู่ด้วย เราเลยนอนที่นั่นกัน 3 คืนเลยค่ะ
จบแค่นี้สำหรับพาร์ทนี้ พาร์ทหน้าจะพาไปดูโรงแรมที่เราพักกันค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น