การไปเชียงรายของเราครั้งนี้ เริ่มมาจากอารมณ์ชั่ววูบค่ะ อยากไปเชียงราย และเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกา 58 แอร์เอเชีย ก็จัดโปร Big Sale ค่ะ เป็นโปรที่ต้องใช้แต้ม Big Point แลก บางเส้นทาง บางช่วงเวลาก็ใช้แค่ 0 แต้ม คือไม่มีแต้มก็แลกได้ พูดง่ายๆ คือฟรี แต่ฟรีแค่ตั๋วนะคะ คุณต้องจ่ายค่าภาษีสนามบินด้วย สำหรับรูทดอนเมือง - เชียงราย ก็เที่ยวละ 100 ไปกลับก็ 200 บาทค่ะ บวกค่าธรรมเนียม Direct Debit อีก 40 กว่าบาท แต่ข้อเสียของโปรนี้คือ มันมักจะเป็นโปรแนวๆ จองชาตินี้ บินชาติหน้า ค่ะ อาจไม่เหมาะกับบางคน แต่เรากับเพื่อนไม่มีปัญหาอะไรค่ะ
สำหรับการบินในประเทศ เราไม่ค่อยอะไรมากอยู่แล้วค่ะ ไม่โหลดกระเป๋า ไม่เลือกที่นั่ง ไม่กินอะไรทั้งสิ้น สำหรับกรุงเทพ - เชียงรายนี่บินแค่ 1.20 ชม. เองค่ะ
สายการบินในประเทศที่ดอนเมืองย้ายมาอยู่ Terminal 2 ที่เปิดใหม่แล้วค่ะ เนื่องจากเราไปสาย เลยเช็คอินออนไลน์ แล้วส่ง QR Code ให้เพื่อนที่ไปถึงก่อนปริ๊นท์บอร์ดดิ้งพาสที่ตู้ให้ค่ะ ไปถึงก็เข้าด่านตรวจความปลอดภัยได้เลย เพราะไม่ได้โหลดกระเป๋า ตรงจุดนี้เดินไกลมากค่ะ ออกแนวเดินวนไปวนมา คิดว่าคงทำไว้รองรับเวลามีผู้โดยสารจำนวนมาก แต่เราคิดว่ามันน่าจะออกแบบได้ดีกว่านี้ เพราะผู้โดยสารก็ไม่ได้เยอะตลอดเวลาค่ะ
ถึงรูปที่ถ่ายมาจะเป็นเครื่องนกแอร์ แต่จริงๆ เราบินกับแอร์เอเชียนะคะ ( ̄▽ ̄;)ゞ
เราเลือกบินช่วงบ่ายแก่ๆ ค่ะ ตั๋วฟรีมีทางเลือกไม่มากนักหรอก เครื่องออกตรงเวลาค่ะ แต่เทคออฟได้ช้า ช้าไปครึ่งชั่วโมงได้เลยมั้ง คงเพราะคิวยาว พอเทคออฟได้ คิดว่านักบินคงซิ่งสุดชีวิตเลยแหละค่ะ เป็นการนั่งเครื่องบินที่ทรมานมาก เวียนหัวสุด รู้สึกว่าเครื่องมันขึ้นๆ ลงๆ คงคล้ายเวลาที่เราขับรถเร็วๆ แล้วรถจะส่ายนิดๆ น่ะค่ะ
และแล้วก็มาถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวงที่เชียงรายโดยสวัสดิภาพค่ะ เลทไป 15 นาที
มีวงดนตรีไทยจากโรงเรียนบ้านป่าสักไก่มาเล่นต้อนรับที่ช่องขาเข้าด้วย เราเลยสนับสนุนทุนการศึกษาไปนิดหน่อยค่ะ
ทางที่พักของเรามีบริการรับส่งสนามบินให้ฟรีด้วยค่ะ เจ้าของเขาขับรถมารับส่งให้เองนั่นแหละ เขาก็ถามว่ากินอะไรมารึยัง จะกินอะไรมั้ย ก็เข้าทางเราพอดีค่ะ เพราะเราเองก็กำลังจะถามเขาอยู่พอดี ว่าระหว่างทางขอแวะซื้อมื้อเย็นก่อนได้มั้ย เพราะแถวที่พักดูไม่น่าจะมีร้านอะไร ตอนแรกกะจะกินน้ำเงี้ยวค่ะ แต่เขาบอกว่าคนเชียงรายจะกินน้ำเงี้ยวมื้อกลางวัน เพราะฉะนั้น ร้านน้ำเงี้ยวจะปิดกันตั้งแต่บ่ายๆ แล้ว (ข้าวซอยก็เช่นกัน) สุดท้ายเลยไปลงที่ร้านอาหารตามสั่งค่ะ จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว แต่อร่อยดี ก็นั่งกินที่ร้านด้วยกันนั่นแหละค่ะ หารค่าอาหารกันแล้วตกประมาณคนละร้อย แถวนั้นมีเซเว่นอยู่ด้วย ก็แวะซื้อเสบียงติดไว้เผื่อหิวค่ะ
กินเสร็จ ตุนเสบียงเสร็จ ก็ได้เวลาเข้าที่พักค่ะ เราพักกันที่ สวรรค์บนดิน Farm & Home Stay ค่ะ เป็นที่พักเล็กๆ มี 2-3 ห้องเองมั้ง แต่น่ารัก อบอุ่น และสบายอย่างไม่น่าเชื่อเลยแหละค่ะ เจ้าของก็น่ารักและเป็นกันเอง เป็นธุรกิจครอบครัวค่ะ อยู่กัน 3 คน พ่อแม่ลูก แต่คุณลูกโตแล้วนะคะ คนที่คอยดูแลรับส่งพวกเราก็คือลูกชายของบ้านนี้นี่แหละค่ะ
ที่พักมีห้องแบบเตียง 5 ฟุต กับ 6 ฟุตค่ะ
5 ฟุต 500 บาท/คืน
6 ฟุต 600 บาท/คืน
เราเลือกแบบ 6 ฟุต เพราะนอนกัน 2 คน จะได้นอนกันสบายๆ หน่อยค่ะ
ห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้
น้ำที่นี่จะแปลกๆ หน่อยนะคะ คือจะมีกลิ่นเหมือนเหล็กหรือสนิมหรืออะไรประมาณนี้ และรสชาติก็แปลกๆ เช่นกันค่ะ
หน้าห้องน้ำมีชั้นโชว์ผลงานเครื่องปั้นดินเผา ที่คุณโต เจ้าของที่พัก ทำเป็นงานอดิเรกด้วยค่ะ
นอกจากนี้ยังมีคอร์สสอนทำเครื่องปั้นดินเผาด้วยนะคะ ชั่วโมงละ 150 บาท ใช้เวลาเรียนประมาณ 3-4 ชั่วโมง แต่เรากับเพื่อนไม่ได้เรียนหรอกค่ะ แค่นั่งดูคุณโตทำเฉยๆ
ต่อไปเป็นซุ้มนั่งเล่นค่ะ ตอนเช้าเราจะมาทานข้าวกันตรงนี้ ส่วนตอนกลางคืนไว้นั่งเล่นจิบชาค่ะ
เปิดไฟแล้วเด่นมาก
มีกระดานโกะให้ด้วย แต่เราเล่นไม่เป็นหรอกค่ะ
ชามะตูมผสมคาโมมายล์ อภินันทนาการจากทางที่พัก ว่าแต่ทำไมมะตูมกับคาโมมายล์รวมกันแล้วออกมาเป็นสับปะรดล่ะ กลิ่นเหมือนสับปะรดจริงๆ นะคุณ แต่อร่อยค่ะ เราชอบมากกว่าชาคาโมมายล์เพียวๆ ซะอีก ใครชิมแล้วติดใจจะซื้อกลับไปชงดื่มเองที่บ้านก็ได้นะคะ มีให้เลือกหลากหลายอยู่
เพราะที่นี่อยู่กลางทุ่ง และมีต้นไม้เยอะ อากาศเลยดีเป็นพิเศษ และยุงก็เยอะเป็นพิเศษด้วยค่ะ ถ้าจะไปก็เอายากันยุงติดไปด้วยนะคะ และดูเหมือนจะมีที่เลี้ยงหมูอยู่ใกล้ๆ ด้วย (ไม่ใช่ของทางที่พักนะคะ) วันดีคืนดีก็อาจจะมีกลิ่นขี้หมูโชยมาบ้างเหมือนกันค่ะ
เรามากันช่วงปลายเดือนมิถุนาค่ะ ซึ่งเข้าหน้าฝนแล้ว เป็นการเลือกช่วงเวลาได้เสี่ยงมากค่ะ เพราะถ้าเจอฝนหนักๆ หรือฝนตกทั้งวันก็คงเที่ยวไม่สนุก หรืออาจจะไม่ได้ไปไหนเลย แต่เราโชคดีที่เจอฝนแค่นิดหน่อยค่ะ แถมช่วงกลางวันวันแรกฟ้าหลัวด้วย ไม่มีแดด เที่ยวสบายเลยค่ะ (^_^)
ตื่นเช้ามาเจอฝนตกนิดหน่อยค่ะ
เดินออกมาที่ซุ้ม อาหารเช้าวางรออยู่แล้ว
อาหารเช้าเป็นออปชั่นเสริมที่ต้องซื้อเพิ่มนะคะ เลือกได้ระหว่าง
ข้าวต้ม คนละ 50 บาท
อาหารชุด คนละ 100 บาท
(อาหารชุดประกอบด้วย ไข่ลวก ไข่เจียวดอกอัญชัน แกงจืดผักหวาน น้ำพริกผักสดและผักลวก)
สามารถทำอาหารทานเองได้ ทางที่พักมีเตา หม้อ กระทะ ให้ค่ะ
ส่วนพวกเราเลือกเป็นข้าวต้มค่ะ
เปิดออกมาพบว่า...
เกินคาดค่ะ ฮ่าๆๆ
ตอนแรกนึกว่าจะมีแต่ข้าวต้มซะอีก
ข้าวต้มหมูสับ
ทำจากข้าวกล้อง ผักจัดเต็ม คิดถึงข้าวต้มของแม่เลยค่ะ มาแนวเดียวกันเลย แต่ของแม่เราจะใส่ธัญพืชด้วย
ไข่เจียวดอกอัญชัน
สีสวยมาก อร่อยด้วย ดอกอัญชันกินง่ายค่ะ ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติ มีแต่สีเฉยๆ
น้ำพริกผักสดและผักลวก
มีผักกูดด้วย ถ้าเป็นน้ำพริกกะปินี่เริ่ดเลยค่ะ แต่พอเป็นพริกเผาแล้วเหมือนมันไม่เข้ากันเท่าไหร่ง่ะ แหะๆ (เรื่องมาก -*-)
ของหวานเป็นข้าวเหนียวสังขยากับข้าวเหนียวปิ้งไส้ถั่วค่ะ
พนักงานที่นี่ดูแลดีจริงๆ ค่ะ มีบริการนั่งเป็นเพื่อนด้วย
ถึงน้องแมวจะน่ารักน่าเอ็นดูแค่ไหน แต่ส่วนตัวเราคิดว่าไม่ควรให้อาหารน้องนะคะ เดี๋ยวจะเคยตัวแล้วมาวุ่นวายขออาหารจากแขก ซึ่งก็ใช่ว่าแขกของที่พักทุกคนจะรักแมว
ถึงน้องแมวจะน่ารักน่าเอ็นดูแค่ไหน แต่ส่วนตัวเราคิดว่าไม่ควรให้อาหารน้องนะคะ เดี๋ยวจะเคยตัวแล้วมาวุ่นวายขออาหารจากแขก ซึ่งก็ใช่ว่าแขกของที่พักทุกคนจะรักแมว
ปิดท้ายด้วยชาดอกอัญชันค่ะ
เราอยู่เชียงรายกัน 3 คืนค่ะ นอนที่นี่ 2 คืน แต่ไม่ติดกันนะคะ คือนอนแค่คืนแรกกับคืนที่สาม ส่วนคืนที่สอง เราจะไปนอนบนดอยกันค่ะ
สำหรับที่นี่ เป็นที่ที่เงียบ สงบ สบายดีค่ะ เหมาะกับผู้ที่อยากมาปลีกวิเวก มาพักผ่อน พักใจ ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อยู่กับธรรมชาติ สำหรับพวกสายเที่ยวก็โอเคอยู่ค่ะ หลับสบายมาก เหมาะแก่การชาร์จแบตให้ร่างกายหลังจากตระเวนเที่ยวมาทั้งวัน แต่มันอยู่นอกเขตเมือง เลยไม่มีรถโดยสารสาธารณะผ่านมา และไม่มีร้านค้าใกล้ๆ ด้วยค่ะ
ถ้าจะออกไปไหนโดยไม่มีรถส่วนตัวมา จะโทรเรียกแท็กซี่ หรือจะเรียกผ่านแอป Grab Taxi ก็ได้ค่ะ (มีค่าเรียกด้วยนะคะ น่าจะอยู่ในช่วง 20 - 30 บาท) แต่เราไม่มีข้อมูลเรื่องแท็กซี่มากนักนะคะ ที่เคยขึ้นเมื่อปี 57 เราว่าดีอยู่นะ ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่แพงโหดร้ายนัก ไม่ค่อยคิดราคาตามมิเตอร์ แต่เหมือนจะมีเรทมาตรฐานของเขาอยู่ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่เรารับได้ อย่าเรียกจากในสนามบิน เห็นเขาว่าแพงมาก ออกมาเรียกข้างนอกอาจได้ถูกกว่าครึ่งต่อครึ่งเลย แต่ทั้งหมดนี้ คือข้อมูลของปี 57 ที่เราไปสัมผัสมาด้วยตัวเองนะคะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้แล้วนะ
ส่วนตอนเที่ยว เราเหมาแท็กซี่เที่ยวค่ะ เป็นแท็กซี่ที่เคยใช้บริการนำเที่ยวเมื่อปี 57 แล้วประทับใจ และได้นามบัตรมาด้วย กลับมาครั้งนี้เลยขอใช้บริการกันอีกค่ะ เหมานำเที่ยว 2 วัน ไปค้างบนดอย 1 คืน ประมาณ 4 พันกว่าค่ะ ไม่เกิน 4,500 รวมทุกอย่างยกเว้นที่พัก เราก็ต้องดูแลเรื่องที่พักให้เขาด้วย ทางรีสอร์ทที่เราไปพักกันบนดอยมีห้องพักสำหรับคนขับรถให้ค่ะ ราคาไม่แพงเท่าไหร่ (ถูกกว่าของเรา) และมีอาหารเช้าให้คนขับรถด้วยค่ะ
ถ้าจะออกไปไหนโดยไม่มีรถส่วนตัวมา จะโทรเรียกแท็กซี่ หรือจะเรียกผ่านแอป Grab Taxi ก็ได้ค่ะ (มีค่าเรียกด้วยนะคะ น่าจะอยู่ในช่วง 20 - 30 บาท) แต่เราไม่มีข้อมูลเรื่องแท็กซี่มากนักนะคะ ที่เคยขึ้นเมื่อปี 57 เราว่าดีอยู่นะ ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่แพงโหดร้ายนัก ไม่ค่อยคิดราคาตามมิเตอร์ แต่เหมือนจะมีเรทมาตรฐานของเขาอยู่ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่เรารับได้ อย่าเรียกจากในสนามบิน เห็นเขาว่าแพงมาก ออกมาเรียกข้างนอกอาจได้ถูกกว่าครึ่งต่อครึ่งเลย แต่ทั้งหมดนี้ คือข้อมูลของปี 57 ที่เราไปสัมผัสมาด้วยตัวเองนะคะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้แล้วนะ
ส่วนตอนเที่ยว เราเหมาแท็กซี่เที่ยวค่ะ เป็นแท็กซี่ที่เคยใช้บริการนำเที่ยวเมื่อปี 57 แล้วประทับใจ และได้นามบัตรมาด้วย กลับมาครั้งนี้เลยขอใช้บริการกันอีกค่ะ เหมานำเที่ยว 2 วัน ไปค้างบนดอย 1 คืน ประมาณ 4 พันกว่าค่ะ ไม่เกิน 4,500 รวมทุกอย่างยกเว้นที่พัก เราก็ต้องดูแลเรื่องที่พักให้เขาด้วย ทางรีสอร์ทที่เราไปพักกันบนดอยมีห้องพักสำหรับคนขับรถให้ค่ะ ราคาไม่แพงเท่าไหร่ (ถูกกว่าของเรา) และมีอาหารเช้าให้คนขับรถด้วยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น