เห็นเขาบอกว่าที่นี่จะสวยเป็นพิเศษในตอนเช้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางสายหมอก และแน่นอนค่ะ ขึ้นชื่อว่าภาคเหนือ นักท่องเที่ยวย่อมนิยมมาเยือนกันในช่วงฤดูหนาว แต่เรามากันในตอนบ่ายฤดูฝน (ที่ฝนไม่ตกและฟ้าใสมาก) ก็ไม่เป็นไรค่ะ มันก็สวยไปอีกแบบ (^_^)
หลักกิโลเมตรสามเหลี่ยมทองคำ
ฝั่งพม่า
เหมือนจะเป็นพื้นที่รกร้างแหละค่ะ (- -;)
ฝั่งลาว
ดูเป็นเมือง ยอดเจดีย์หรืออะไรสักอย่างสีทองๆ นั่นดูเด่นมากค่ะ ดูสวยงาม ดูน่าข้ามไปเที่ยว
สามเหลี่ยมทองคำมักเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มใช้บริเวณนี้เป็นจุดขนถ่ายสินค้าแล้วก็ตาม ส่วนตัวเราว่าเป็นจุดที่ดีมากนะคะ เป็นจุดบรรจบของ 3 ประเทศ และมีแม่น้ำด้วย ถ้าพัฒนาดีๆ น่าจะเป็นเมืองท่าที่สำคัญได้เลยแหละ เพราะแม่น้ำโขงก็เข้าไปถึงจีนด้วย แต่เท่าที่เห็นเกาะกลางโผล่ขึ้นมาแบบนี้ เราก็ไม่แน่ใจว่าเรือสินค้าใหญ่ๆ จะผ่านเข้ามาได้มั้ยนะคะ
สถานีต่อไป
ชายแดนแม่สาย - ท่าขี้เหล็กค่ะ
เราจะข้ามไปฝั่งท่าขี้เหล็กของพม่าด้วย ก่อนอื่นก็ต้องไปทำบัตรผ่านแดนก่อนค่ะ
ถึงจะเรียกว่าบัตรก็เหอะ แต่จริงๆ เป็นกระดาษ A4 นะคะ ชื่ออย่างเป็นทางการคือหนังสือผ่านแดนชั่วคราว สามารถพำนักอยู่ในพม่าได้ 1 สัปดาห์ค่ะ
สถานที่ออกบัตรผ่านแดนก็อยู่ใกล้ๆ ด่านนั่นแหละค่ะ ค่าออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราว 30 บาท เอาแค่บัตรประชาชนไปยื่น เขาก็ดึงข้อมูลมา ปริ๊นท์ใส่กระดาษ A4 เป็นรูปและข้อมูลส่วนตัวของเราค่ะ ทำไวมาก แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว
ส่วนเวลาเปิดทำการของสำนักงานออกบัตรและเวลาที่ข้ามด่านได้เหมือนจะไม่ค่อยแน่นอนเลยค่ะ เมื่อ 2 ปีก่อนที่เรามาเหมือนจะปิดประมาณ 4-5 โมงเย็น เลยไม่ได้ข้ามไป แต่รอบนี้ปิดทุ่มนึงค่ะ เลยได้ข้ามสักที แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายที่ติดไว้ว่าจะเปิดถึง 1 ทุ่มถึงแค่ 30 มิ.ย. 59 เท่านั้นนะ หลังจากนั้นจะปิดเร็วแล้ว ซึ่งวันที่เราไปก็เป็นวันสุดท้ายพอดีเลยค่ะ ( ̄∇ ̄;)
ประตูสู่พม่า
เราลองถามเจ้าหน้าที่ ตม. ว่าใช้พาสปอร์ตได้มั้ย เขาบอกว่าไม่ได้ค่ะ เพราะติดวีซ่าอยู่ ซึ่งบัตรผ่านแดนนี่ก็เหมือนเป็นวีซ่าอะค่ะ แต่ถ้าบินไปลงที่พม่าจะเป็นฟรีวีซ่า เราก็เพิ่งรู้ว่าเหมือนกันค่ะ ว่าวีซ่าภาคพื้นกับภาคอากาศมันแยกกัน
ต้องเดินวนผ่านตึกเหลืองนี่ด้วยนะคะ เป็นพวกพิธีตรวจคนเข้าเมืองนั่นแหละค่ะ ด่าน ตม. เข้าพม่าภาคพื้นดินไม่มีอะไรน่ากลัวนะคะ เจ้าหน้าที่ ตม. พม่าที่เราเจอก็น่ารักทีเดียว ดูยิ้มแย้ม เป็นมิตรดีค่ะ เขาพยายามออกเสียงนามสกุลเราด้วย ถึงเราจะฟังแทบไม่ออกเลยก็ตาม ( ̄∇ ̄;)
ออกจาก ตม. มาก็เจอดีเลยค่ะ มีลุงคนนึงมาตื๊อขายทัวร์ให้เรา เขาพูดภาษาไทยใส่เรา ก็ไม่รู้ว่าเป็นคนไทยหรือพม่าหรืออะไร คือน่ากลัวมาก ทั้งตื๊อทั้งตามแบบกัดไม่ปล่อยเลยค่ะ แต่ยังดีที่เขาไม่โดนตัวเรา พอเราหนีลงไปตลาดข้างล่าง เขาก็ไม่ได้ตามมาอีก
พอลงไปข้างล่าง ก็มีคนขายของพุ่งมาที่เรา เราก็ทำเบลอใส่ (จริงๆ คือยังช็อคจากการโดนตื๊ออยู่) คราวนี้คนที่โดนคือเพื่อนเราค่ะ เพื่อนเราบอกว่าเขามาจับแขน เหมือนจะให้ซื้อของเขา คือมันไม่มากไปหน่อยเหรอคะ โดนตื๊อว่าน่ากลัวแล้ว โดนตัวน่ากลัวยิ่งกว่า ถึงจะไม่รุนแรง แต่มันล้ำเส้นอะค่ะ (T^T)
นี่คือตลาดข้างล่างค่ะ ให้ความรู้สึกคล้ายตรอกสวนราชาที่ลพบุรีนิดๆ
ของถูกจริง ขายเป็นหน่วยบาทด้วย แต่เราก็ไม่รู้จะซื้ออะไรอยู่ดีค่ะ
ถ่ายรูปมาได้แค่นี้ค่ะ ไม่กล้าถ่ายมากไปกว่านี้ เรารู้สึกว่าเขามองเราแปลกๆ ถึงเราจะดูแปลกจริงๆ ก็เหอะ ( ̄∇ ̄;) เพื่อนเราก็บอกว่ารู้สึกว่าเขามองพวกเราแบบจริงจังมาก บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกเราติดลบมาตั้งแต่ตอนที่โดนตื๊อขายทัวร์แล้ว เหมือนเราสร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างเรากับพวกเขาแล้ว บางทีถ้าเรายิ้มแย้มเป็นมิตรขอถ่ายรูป เขาก็คงไม่แสดงท่าทีแปลกๆ ขนาดนี้
ออกมาจากตลาด เจอร้านขายอาหารท้องถิ่น ดูน่าสนใจดี แต่พอเห็นเขามองเราแปลกๆ เราก็กลัวอีกค่ะ กลัวจนไม่กล้าถ่ายรูปเลยด้วยซ้ำ (T^T)
เอาจริงๆ นะคุณ คนที่เจอชาวต่างชาติแล้วไม่รู้จะรับมือยังไงเลยนิ่งใส่ กับคนที่เจอเอเลี่ยนแล้วรู้สึกสนใจแต่ก็ไม่อยากยุ่งด้วยเนี่ย มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันนะคะ และส่วนใหญ่เราก็มักจะแยกออกด้วย ระหว่างทางเราก็ได้เจอกับพวกระดับกลางๆ ขึ้นไปอย่างพวกนายธนาคารอยู่เหมือนกันค่ะ เขาก็รู้ว่าเราเป็นชาวต่างชาติ เขามองว่าเราเป็นมนุษย์เหมือนเขา เขาก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้อะไร ทำเหมือนคนไม่รู้จักเดินผ่านปกติ ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนี้ปะ?
มาเดินที่พม่านี่รู้สึกเหมือนอะไรๆ กลับตาลปัตรมากค่ะ คือเขาขับรถเลนขวา รวมไปถึงเซนส์ในการเลือกฝั่งเดินมันก็ต่างกันอะ โดยเฉพาะตอนข้ามถนน เราจะงงๆ ว่า เอ๊ะ? เราควรมองฝั่งไหน
เดินต่อไป เจอสวนอะไรไม่รู้ ดูสวยดี ที่หน้าประตูบอกมีค่าเข้าด้วย ไม่แน่ใจว่ากี่บาท (ใช่ค่ะ หน่วยบาท) คิดว่าไม่น่าเกิน 30 แต่ก็ไม่เห็นคนเก็บเงิน ไม่มีกล่องใส่เงินด้วย เราเลยไม่กล้าเดินเข้าไป ได้แค่ถ่ายรูปอยู่หน้าประตูอย่างงี้แหละค่ะ ( ̄∇ ̄;)
เดินพอใจแล้วก็กลับไทยค่ะ
สำหรับท่าขี้เหล็กเท่าที่เห็น เราว่ามันก็ทั่วๆ ไปอะค่ะ เหมือนเขตเมือง เขตตลาดในต่างจังหวัดบ้านเรา ดูไม่ได้เจริญกว่า แต่ก็ไม่ล้าหลัง ดูพอๆ กันอะค่ะ แอบอยากกลับไปอีกรอบเหมือนกัน เพราะเราไปกันแบบผิวเผินมาก มันอาจจะมีอะไรมากกว่านี้อีกก็ได้
ส่วนเรื่องล่าลูกค้าต่างชาตินี่ร้ายไม่แพ้ไทยเลย แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าคนไทยเวลาล่าลูกค้าต่างชาติเป็นยังไงเหมือนกัน เพราะเราเป็นคนไทย ซึ่งระดับการล่ามันก็คงต่างกันอะค่ะ
กลับมาแม่สายแล้วค่ะ เกือบๆ 6 โมงแล้ว ยังสว่างอยู่เลย แต่ก็มืดหน่อยๆ เพราะเมฆฝนเริ่มมาเยือนค่ะ
ตรงนี้เป็นฝั่งไทยแล้วค่ะ สีฟ้าๆ นั่นคือด่านชายแดนแม่สาย
ถ้าใครจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ แถวนี้มีโรงแรมนึงที่เปิดให้เข้าห้องน้ำอยู่นะคะ จำชื่อไม่ได้แล้ว ค่าเข้าคนละ 5 บาท อยู่แถวๆ ด่านนี่แหละค่ะ ถ้าหันหน้าเข้าหาด่านสีฟ้าๆ นั่น จะอยู่ทางซ้ายมือ อาจจะมีที่อื่นอีก แต่ที่นี่คือที่ที่เราไปเข้ามาค่ะ
เรารักตลาดแม่สายตอนเย็นๆ มากค่ะ ของกินท้องถิ่นแปลกๆ เต็มไปหมด (@⌒ー⌒@)
ร้านข้าวจี่ถั่วเน่า ที่มักจะขายขนมงากับขนมข้าวโพดด้วย
แผ่นสีเหลืองๆ บนถาดคือข้าวโพดค่ะ สั่งแล้วเขาจะเอาใส่ถุงให้เลย รสชาติก็ข้าวโพดอะค่ะ ไม่ค่อยหวานเท่าไหร่ เหมือนไม่ได้ปรุงแต่งรสอะไรมากมาย แต่ก็ดูกินง่ายที่สุดแล้วในบรรดาสามอย่างนี้
แผ่นสีดำๆ บนเตาปิ้งคืองาค่ะ สั่งแล้วเขาจะเอามาปิ้งให้ก่อน ปิ้งเสร็จก็โรยน้ำตาลทรายแดงแล้วใส่ถุงให้ เนื้อจะเหนียวๆ หนุบๆ รสงามาก งาแบบ...ง๊าาาาางา ตอนกินงาก็ติดมือร่วงเต็มตัวไปหมด ( ̄∇ ̄;) ตัวงานี่จะไม่มีรสชาตินะคะ จืดๆ เลย ได้รสหวานอ่อนๆ จากน้ำตาลที่โรยมา กับกลิ่นหอมของงาและกลิ่นควันไฟจากการปิ้ง
ส่วนแผ่นเล็กๆ สีขาว มีซอสสีน้ำตาลแดงทาอยู่คือข้าวจี่ถั่วเน่าค่ะ เป็นแผ่นข้าวเหนียวทาถั่วเน่าแล้วเอามาปิ้ง มันคือถั่วหมักของทางเหนืออะค่ะ รสชาติออกเค็มๆ เผ็ดๆ จนถึงเผ็ดมาก (T∇T) กลิ่นก็แล้วแต่คนชอบเลยค่ะ สำหรับเราคือไม่สามารถพูดได้ว่าหอมอะ (T∇T) กินตอนร้อนๆ อร่อยมากกกกก แต่กินเสร็จแล้วเหม็นติดมือเลยค่ะ (T∇T)
จำราคาไม่ได้แล้ว ราคาแต่ละอย่างไม่เท่ากัน คิดว่าไม่น่าเกินแผ่นละ 10 บาท...มั้ง? ถ้าเกิน 10 ก็ไม่เกิน 15 อะค่ะ
ส่วนนี่คือเกี๊ยวซ่ากับข้าวฟืนทอดค่ะ
เกี๊ยวซ่ามีไส้หลากหลายดีค่ะ ส่วนสีเหลืองๆ ข้างล่างคือข้าวฟืนค่ะ สีเหลืองแบบนี้น่าจะทำจากถั่ว ตอนกินก็เหมือนจะได้รสของถั่วเหมือนกันค่ะ กล่องละ 30 มั้งคะ ไม่แน่ใจ (อีกแล้ว) สั่งรวมๆ กันได้ค่ะ
ข้าวฟืน มาจากคำว่าข้าวแรมฟืน ซึ่งเพี้ยนมาจากข้าวแรมคืนอีกทีค่ะ วัตถุดิบหลักๆ ก็คือข้าวหรือถั่ว นำมาโม่ให้เป็นแป้ง แล้วเอาตะกอนจากน้ำแป้งที่ตกตะกอนแล้วไปเคี่ยวกับน้ำปูนขาวจนสุก เทใส่ภาชนะแล้วทิ้งไว้ข้ามคืนให้แป้งแข็งตัวเป็นก้อน และนี่ก็คือที่มาของชื่อข้าวแรมคืนค่ะ วิธีทำดูยุ่งยากทีเดียวเนาะ (^_^;)
ออกจากแม่สายก็เข้าเมืองเชียงรายกันค่ะ ระหว่างทางจากแม่สายเข้าเมืองเชียงราย เราต้องเจอด่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คิดว่าคงตรวจพวกยาเสพติด พวกของผิดกฎหมายอะค่ะ คุณก็รู้ว่าชายแดนเรื่องพวกนี้เยอะ ครั้งก่อนมาก็เจอ เขาก็ถามนิดๆ หน่อยๆ มาทำอะไร แล้วก็ปล่อยไป อาจเป็นเพราะเราไม่ได้ข้ามไปฝั่งพม่าด้วย แต่รอบนี้เขาเรียกลงรถ ซักประวัติ ค้นกระเป๋าเลยค่ะ แต่เราก็บริสุทธิ์ใจอะ เราไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีมา เขาก็ปล่อยไปค่ะ จริงๆ เจ้าหน้าที่พวกนี้เขาก็ไม่ได้ดูร้ายอะไรนะคะ เขาก็คงทำตามหน้าที่แหละ
เอาหละค่ะ ในที่สุดเราก็มาถึงหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติเมืองเชียงรายทัน 2 ทุ่มพอดีค่ะ
หอนาฬิกานี้เป็นผลงานการออกแบบของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้สร้างวัดร่องขุ่น รูปลักษณ์ของหอนาฬิกาก็เป็นแบบพุทธศิลป์ตามสไตล์ของอาจารย์เขานั่นแหละค่ะ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เริ่มเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 สิงหาคม 2551
หอนาฬิกานี้จะตีบอกเวลาทุกชั่วโมง และในเวลา 19:00/ 20:00/ 21:00 จะมีการแสดงแสงสีเสียงด้วยค่ะ โดยไฟที่นาฬิกาจะเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ พร้อมบรรเลงดนตรี ไม่รู้เพลงอะไร มันออกเหนือๆ อะค่ะ แต่เราเคยได้ยินเพลงนี้ ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเชียงราย ที่หากได้มาเยือนก็ควรมาชมการแสดงที่นี่สักครั้งค่ะ
เราเลือกมารอบสองทุ่ม เพราะ 1 ทุ่มยังไม่มืดสนิทดีสำหรับช่วงนี้ ส่วน 3 ทุ่มก็ดูจะดึกไปค่ะ เรามาถึงก่อน 2 ทุ่มนิดหน่อย ตอนแรกนึกว่าจะมีแค่พวกเราที่ยืนเป็นตัวประหลาดอยู่ตรงแยก สักพักมีรถตู้มาจอด คนลงมาเต็มเลยค่ะ โอเค เราไม่แปลกแล้ว ( ̄∇ ̄)
นี่คือนาฬิกาสีปกติ
นี่คือนาฬิกาช่วงเปลี่ยนสีค่ะ
การแสดงแอบดีเลย์เบาๆ แต่ก็แสดงอยู่ประมาณ 5 - 10 นาทีได้เลยค่ะ (〃▽〃)
ดูเสร็จก็กลับที่พักที่ สวรรค์บนดิน กินข้าวซอยที่ซื้อมา ปกติคนเชียงรายเขาจะกินข้าวซอย/น้ำเงี้ยวเป็นมื้อกลางวันกันค่ะ บ่ายแก่ๆ ก็เริ่มปิดร้านกันแล้ว คุณลุงรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ยังอุตส่าขับรถพาวนหา (>/\<)
จนไปเจอร้านนึง เขาเก็บร้านเหมือนไม่ขายแล้วอะค่ะ แค่ยังไม่ปิดเท่านั้นเอง ตอนที่เราไปถึงก็ใกล้มืดแล้วค่ะ เดินเข้าไปตอนแรกเขาทำท่าจะไม่ขายให้ แต่คุณลุงไปขอร้องเขาเป็นภาษาเหนือ ประมาณว่าพวกนี้มาจากกรุงเทพ จะกลับพรุ่งนี้แล้ว ยังไม่ได้กินข้าวซอยเลย ไม่รู้คุณลุงพูดอะไรอีก แต่เขาก็ยอมรื้อของออกมาทำให้ค่ะ ไม่รู้เพราะเห็นแก่คุณลุงที่พูดภาษาเดียวกัน หรือสมเพชเราที่มาเชียงรายทั้งทีแต่ดันไม่ได้กินข้าวซอย ยังไงก็ขอบคุณจริงๆ ค่ะ (>/\<)
เราไม่รู้ชื่อหรือพิกัดร้านเลยค่ะ เลยไม่รู้จะบอกยังไง รู้แค่ว่าอยู่ช่วงระหว่างชายแดนแม่สายกับด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงรายจากแม่สายอะค่ะ (ไม่ใช่ ตม. นะคะ เป็นด่านของพวกทหารหรือตำรวจอะไรพวกนั้น ที่เราบ่นๆ ว่าโดนตรวจไปนั่นหละค่ะ)
ข้าวซอยเขาอร่อยจริงๆ ค่ะ รสชาตินวลๆ กลมกล่อม ไก่ชิ้นใหญ่และเปื่อยดี เราชอบไก่เปื่อยๆ เพราะมันกินง่ายค่ะ เอาตะเกียบจิกๆ เนื้อก็หลุดออกมาแล้ว (〃^ー^〃)
ที่สวรรค์บนดินมีชามมีช้อนให้ยืมใช้ค่ะ ใช้เสร็จก็ล้างให้เขาด้วยนะคะ (^_^)
ทริปเชียงรายของเราก็จบลงแค่นี้แหละค่ะ ตอนเช้าคุณโตเจ้าของสวรรค์บนดินก็ขับรถพาเราไปส่งที่สนามบินเชียงราย เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพกันค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น