วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

รถไฟลอยน้ำ ณ เขื่อนป่าสัก

ทริปรถไฟลอยน้ำที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์นี้ เป็นทริปของการรถไฟค่ะ เป็นทริปที่ รฟท. จัดร่วมกับ จ.ลพบุรี เอ๊ะ? หรือลพบุรีร่วมกับ รฟท. เหมือนเขาจะบอกว่าลพบุรีเป็นเจ้าภาพ ส่วน รฟท. ช่วยจัดหาคนไปเที่ยว ซึ่งก็หาได้เยอะอยู่แล้วค่ะ เยอะระดับที่ต้องเพิ่มตู้เพิ่มรอบกันเลยแหละ





ทริปนี้เป็นทริปแบบ Limited ค่ะ ตอนแรกจัดแค่ 6 วันเท่านั้น คือวันเสาร์ - อาทิตย์ที่ 14-15, 21-22, 28-29 มกราคม 2560 เท่านั้น และด้วยความฮ็อต จึงเพิ่มรอบวันที่ 4-5, 11-12, 18-19, 25-26 กุมภาพันธ์ให้อีกเดือนค่ะ


ดูเหมือนปกติทริปนี้จะมีทุกปีนะคะ (เอ๊ะ! หรือเกือบ?) แต่ก็จะจัดแค่ช่วงปลายปีถึงต้นปีนี่แหละค่ะ ซึ่งเป็นช่วงที่ทานตะวันบานพอดี และน้ำก็เต็มเขื่อนจนเห็นเป็นรถไฟลอยน้ำพอดี พูดง่ายๆ คือเป็นทริปตามฤดูกาลค่ะ ไม่ได้จัดตลอดปีแบบทริปอื่น คนก็เลยเยอะเป็นธรรมดา เพราะ 1 ปีมีแค่ครั้งเดียว และบางคนก็ไปหลายรอบด้วยค่ะ





รถเป็นรถนั่งพัดลมชั้น 3 ค่ะ ตั๋วมีทั้งหมด 4 ราคา มีทั้งแบบไป-กลับ และแบบเที่ยวเดียวสำหรับกลับเข้ากรุงเทพค่ะ

  • ตั๋วรถไฟไป-กลับ ราคา 270 บาท สามารถขึ้นได้ที่สถานีกรุงเทพ สามเสน บางเขน บางซื่อ หลักสี่ ดอนเมือง รังสิต และอยุธยาค่ะ
  • ตั๋วรถไฟไป-กลับ ราคา 110 บาท สำหรับคนที่ขึ้นที่สระบุรีและแก่งคอย
  • ตั๋วรถไฟไป-กลับ ราคา 60 บาท สำหรับคนที่ขึ้นที่แก่งเสือเต้น อันนี้เป็นตั๋วไม่ระบุที่นั่งค่ะ ถ้ารถเต็มก็ยืนไป นอกจากว่าคนที่นั่งอยู่จะสละหรือแบ่งที่นั่งให้ค่ะ
  • ตั๋วรถไฟเที่ยวเดียวสำหรับกลับเข้ากรุงเทพ ราคา 150 บาท มีหลายคนที่ประสบปัญหาขากลับไม่ได้นั่งที่เดิม บางคนโดนจับแยกจากเพื่อนไปไกลเลย เขาก็สันนิษฐานกันว่าเป็นเพราะตั๋วเที่ยวเดียวนี่แหละค่ะ

* ตั๋วราคา 270 และ 110 บาท จะเป็นตั๋วระบุที่นั่ง (ตั๋ว 150 ก็น่าจะระบุเหมือนกัน)
** ตอนจองตั๋วต้องแจ้งชื่อและเลขบัตรประชาชนของผู้เดินทางด้วย
*** ราคาตั๋วเท่ากันทั้งเด็กและผู้ใหญ่นะคะ







ส่วนของเราขึ้นที่กรุงเทพค่ะ








มาถึงสถานีกรุงเทพ (หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าหัวลำโพง) รอบนี้ดีหน่อยที่รถออก 7:10 เลยนั่ง MRT มาลงที่หัวลำโพงได้ค่ะ



ตารางเดินรถและเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ใครจะวอล์คอินมาซื้อวันเดินทางเลยก็ได้ค่ะ แต่ไม่รับประกันว่าจะได้ตั๋วนะคะ เพราะมันฮ็อตมากจริงๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีตั๋วหลุดค่ะ




รถไฟของเราอยู่ตรงหน้าทางเข้าเลยค่ะ
มีตั้ง 14 ตู้แน่ะ ถ้าเข้าใจไม่ผิด เหมือนตอนแรกจะมีแค่ 10 ตู้ แต่พอเห็นตั๋วเต็มรัวๆ เขาเลยเพิ่มตู้ให้ค่ะ แต่ไม่คิดว่าจะเพิ่มให้ถึง 4 ตู้นะเนี่ย




ตู้ที่ 14 อยู่ฝั่งทางเข้า แล้วเราอยู่ตู้แรก เดินยาวไปค่ะ เพิ่งรู้ว่ารถไฟ 14 ตู้ยาวขนาดนี้ ยาวจนอยากให้มีทางเลื่อนแบบที่สนามบินเลยค่ะ ( ̄▽ ̄;)







ถึงจะเป็นตู้นั่งพัดลมชั้น 3 แต่ก็เป็นตู้รุ่นปรับปรุงใหม่นะคะ ดูสวยงามสบายตาเชียวค่ะ




ที่นั่งเป็นเบาะนวมหันหน้าเข้าหากัน นั่งได้ 4 คน และนั่งเต็ม 4 ที่วางขากว้างพอที่เข่าจะไม่ชนกัน แต่ถ้าไม่รู้จักกันก็เหยียดขาไม่ได้ค่ะ และขยับได้ไม่มากนักด้วย พนักพิงเป็นแบบตรงๆ ขอบบนเป็นโลหะ เวลาหลับแล้วหัวโงกไปโขกโป๊กๆ ก็ตื่นค่ะ เจ็บ (;_;)


เลขที่นั่ง ถ้าโทรจองแล้วไม่ได้ขอที่นั่งแบบที่อยากได้ไป ก็คาดเดาอะไรไม่ได้เลยค่ะ ใครจะเดาก็ได้ แต่คงต้องใช้พลังประมวลผลมากหน่อย เราขอผ่านค่ะ ไปลุ้นเอาบนรถเลยละกัน คือเห็นเลขแล้วเราไม่สามารถบอกได้ทันทีว่ามันอยู่ฝั่งซ้ายหรือขวา ริมหน้าต่างหรือทางเดิน และที่นั่งในบล็อคเดียวกันก็ไม่ได้เป็นเลขเรียงกันนะคะ ใครซื้อมากกว่า 2 ที่อาจได้เห็นเลขไม่ติดกับเพื่อน ถ้าห่างไม่มากก็อาจได้นั่งบล็อคเดียวกันค่ะ แต่ก็มีกลุ่มที่โดนจับแยกแบบคนละบล็อคและอยู่ไกลกันอยู่เหมือนกันค่ะ







เหลือเวลาอีกประมาณ 10 นาทีก่อนออกเดินทาง (ถ้าไม่เลท) เห็นรถไฟที่ชานชาลาข้างๆ ติดเครื่องอยู่ หน้าตาก็ดูน่าสนใจดี เลยลงไปถ่ายรูปเล่นก่อนค่ะ (@⌒ー⌒@)



หน้าตาวินเทจดีจัง เกิดเมื่อไหร่เนี่ย
แต่ยังใช้งานได้นะคะ ก็เห็นใช้ลากขบวนนี้ออกไปนี่แหละค่ะ




ชานชาลาอีกฝั่งกับชั้นวางป้ายติดข้างรถค่ะ




ส่วนนี่คือรถของเราค่ะ หัวรถจักรหน้าตาใหม่เอี่ยม หรือเพราะเอามาทำสีใหม่ก็ไม่รู้ ( ̄▽ ̄)




หนทางข้างหน้า





รอบของเราเลทไปประมาณ 20 นาทีค่ะ เขาบอกว่าหน้าต่างที่ตู้สุดท้ายร้าว เลยต้องเปลี่ยนใหม่ ก็ไม่รู้ว่ามันเพิ่งร้าวหรือเพิ่งรู้ว่าร้าว ถ้าเป็นอย่างหลังเราไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ คุณควรเช็คสภาพรถอย่างละเอียดก่อนนำออกมาใช้งานนะ





ก่อนออกเดินทาง เจ้าหน้าที่บนรถจะแจกโบรชัวร์ข้อมูลของทริปนี้ให้ค่ะ



ส่วนนี่คือของที่เราดาวน์โหลดมาจาก เว็บของการรถไฟ ค่ะ







ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เคลื่อนขบวนสักทีค่ะ เวลาออกตามกำหนดการคือ 7:10 แต่ออกจริงประมาณ 7:30 ค่ะ
ข้อเสียของการอยู่ตู้แรกคือมันใกล้หัวรถจักรที่เป็นห้องเครื่องค่ะ เพราะฉะนั้นเสียงจะดังมาก และมีควันจากท่อไอเสียเข้ามาเป็นระยะด้วย





Street Art และบ้านเรือนข้างทาง ( ̄▽ ̄)






ถึงสถานีชุมทางบางซื่อแล้วค่ะ




สถานีกลางบางซื่อที่กำลังก่อสร้าง




วิวข้างทาง




สวนกับรถขนชิ้นส่วนทางรถไฟด้วยค่ะ







ถึงอยุธยาแล้วค่ะ


ก่อนถึงอยุธยา เจ้าหน้าที่ประกาศซะดิบดี ว่าจะจอดที่อยุธยา 5 นาที ใครจะลงไปซื้อของก็ได้ เราก็กะว่าจะลงไปถ่ายรูปเล่นซะหน่อย เอาเข้าจริงจอดถึง 3 นาทีรึเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ เหมือนจอดรับคนเฉยๆ แล้วก็ไป เราลงไปถ่ายได้แค่รูปเดียวก็ต้องรีบกลับขึ้นรถแล้วค่ะ


จริงๆ เขาอาจจะแพลนว่าจะจอดนานจริงๆ ก็ได้มั้งคะ แต่เพราะมันเลทไปเกือบชั่วโมง เลทเพราะเปลี่ยนกระจกไป 20 นาที เลทรอไฟแดง เลทเพราะรถวิ่งได้ไม่เต็มความเร็วอย่างที่ควรจะเป็น เลทสะสมจนกลายเป็นเกือบชั่วโมง เขาคงอยากเร่งทำเวลาน่ะค่ะ (・_・;)





ช่วงระหว่างสถานีอยุธยาไปสถานีสระบุรีฝุ่นเยอะมากค่ะ มันเยอะแบบที่นั่งอยู่ดีๆ ก็เหมือนมีดินร่วงใส่อะค่ะ เราเลยตัดสินใจปิดหน้าต่าง ยังไงก็ไม่ต้องกลัวร้อนหรอกค่ะ เพราะถึงเราจะปิด คนอื่นเขาก็เปิดกันอยู่ดี ปิดกันดินร่วงใส่อีกรอบดีกว่า (~_~;)


หลังจากปิดหน้าต่างไป มีบางช่วงที่รถวิ่งผ่านกลุ่มฝุ่นด้วย เหมือนเป็นฝุ่นที่ถูกลมหอบขึ้นมาน่ะค่ะ ดีนะปิดหน้าต่างไปแล้ว ไม่งั้นโดนอีกรอบแน่ รถวิ่งผ่านที ฝุ่นก็ฟุ้งเต็มรถทีค่ะ






พื้นที่ตรงนี้น่าจะเป็นทุ่งทานตะวันค่ะ เห็นเขาว่าถ้ามีทุ่งทานตะวันรถจะจอดให้ลงไปดูด้วย เสียดายปีนี้เขาไม่ปลูกกัน เห็นว่ามีปัญหาเรื่องน้ำแล้ง เรื่องพื้นที่เพาะปลูก และผลผลิตดูไม่น่าจะคุ้มทุนค่ะ





เดินทางต่อไปเรื่อยๆ รถจะหยุดรับคนที่แก่งเสือเต้นที่จะไปดูรถไฟลอยน้ำด้วยค่ะ ของพวกนี้จะเป็นตั๋วยืน ขึ้นมากันเยอะทีเดียวค่ะ



ไปต่ออีกนิดนึงก็จะเริ่มเห็นน้ำค่ะ แล้วก็จะเข้าสู่สะพานกลางน้ำ จุดชมวิวรถไฟลอยน้ำที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้ค่ะ





ถึงแล้วค่ะ พอรถไฟจอด คนก็กรูลงจากรถกันอย่างรวดเร็ว




รถไฟเอียงมากค่ะ เอียงจนทรงตัวบนรถลำบากเลยแหละ แม้รถจะหยุดนิ่งก็ตาม ตอนลงก็ระวังกันหน่อยนะคะ เราลื่นด้วย ดีที่เรายึดราวจับทั้งสองข้างไว้อย่างดี ไม่งั้นอาจได้พุ่งลงไปเล่นน้ำกันมั่งหละค่ะ ( ̄▽ ̄;)


ช่วงที่เราอยู่กันตรงนี้ มีเรือของ อบต.มะนาวหวาน มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาค่ะ คงมาดูแลความปลอดภัยเผื่อใครตกน้ำ ตอนรถไฟไปเขาก็โบกมือบ๊ายบายเราด้วยค่ะ เราก็โบกกลับไปมั่งเหมือนกัน (〃∇〃)




วิวอีกฝั่งค่ะ





คนเยอะมากค่ะ ถ่ายอะไรก็ติดแต่คน ก็ตั้ง 14 ตู้นี่นะ ถ้าอยากถ่ายแบบโล่งๆ หน่อย คงต้องรอตอนเขาเรียกขึ้นรถน่ะค่ะ คนจะเริ่มทยอยกลับขึ้นรถกัน อยู่ตู้แรกๆ ก็สบายหน่อย เดินไม่ไกลมาก ไม่ต้องรีบขึ้นก็ได้ แต่เราไม่ทันคิด และรีบขึ้นรถตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เขาเรียกเลยค่ะ (T∇T)




แถวนี้ลมแรงมากค่ะ เพราะเป็นพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ และอากาศก็เย็นด้วย เพราะมีน้ำ ใครจะเอาหมวกไป (ซึ่งควรเอาไป เพราะแดดร้อนมาก) แนะนำให้เอาหมวกแน่นๆ ไปหน่อยนะคะ ไม่งั้นบินแน่ ให้คอยจับหมวกตลอดเวลาคงไม่สนุก ส่วนร่มเราว่ามันไม่สะดวกน่ะค่ะ เผลอๆ โดนลมตีพลิกอีก










ได้เวลากลับขึ้นรถและออกเดินทางต่อแล้วค่ะ รถจะเลยไปจอดที่สถานีโคกสลุงประมาณ 20 นาที เพื่อย้ายหัวรถจักรไปไว้อีกฝั่ง จากตอนแรกที่อยู่ตู้แรก ขากลับกลายเป็นอยู่ตู้สุดท้ายไปเลยค่ะ สบายหูขึ้นเยอะ




หลังจากเปลี่ยนทิศหัวรถจักรเรียบร้อยก็ลากย้อนกลับมา ผ่านสะพานรถไฟลอยน้ำ (แต่คราวนี้ไม่จอดแล้ว) ไปส่งเราที่เขื่อนป่าสักค่ะ








สถานีรถไฟเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

รถไฟจะจอดที่นี่พักนึง แล้วไปส่งคนที่แก่งเสือเต้นค่ะ พวกนี้เขาอยู่ใกล้ บางทีเที่ยวเขื่อนกันจนเบื่อแล้ว เขาอาจแค่อยากดูรถไฟลอยน้ำเฉยๆ เพราะปีนึงมีแค่หนเดียว และไม่อยากแกร่วรออยู่ที่เขื่อน รถไฟเขาก็ไปส่งให้ก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมารับคนเที่ยวเขื่อนกลับเข้ากรุงเทพตามกำหนดเวลาอีกทีค่ะ

เขื่อนป่าสักตั้งอยู่ที่ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ค่ะ แต่ก็มีพื้นที่บางส่วนที่ครอบคลุมไปถึง จ.สระบุรี ด้วย







เดินเข้ามาก็จะเจอสาวรำวงค่ะ มีทั้งสาวน้อยและสาวเหลือน้อย แต่เราว่าพวกคุณยายทั้งหลายน่ารักดีนะคะ (@⌒ー⌒@)



ถัดจากกลุ่มสาวรำวงไปก็เป็นซุ้มขายของแบบชั่วคราวค่ะ มีทั้งของกิน ของใช้ ของทั่วไป และสินค้า OTOP







ถัดเข้ามาอีกก็เป็นโรงอาหารค่ะ เรามาถึงตอนเที่ยงๆ พอดี เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย แล้วรถไฟเราก็คนเยอะด้วย เลยดูยุ่บยั่บอย่างงี้นี่แหละค่ะ ( ̄▽ ̄;)




ใกล้ๆ กับโรงอาหารมีห้องน้ำค่ะ คิวดูยาว แต่จริงๆ อาจจะไม่ยาวเท่าไหร่ก็ได้ค่ะ เราไม่ได้เข้าตรงนี้ แต่ไปเข้าตรงหน้าเขื่อน ห้องน้ำสะอาดอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ทั้งๆ ที่คนเยอะขนาดนี้ หรือเขาเพิ่งทำความสะอาดก็ไม่รู้ ( ̄▽ ̄;)ゞ







ระหว่างที่คนอื่นๆ กำลังแย่งชิงมื้อกลางวันกันอยู่ เราก็รีบพุ่งไปที่รถลากก่อนค่ะ เสียเวลาไปเยอะเหมือนกัน เพราะหาไม่เจอ เจอแต่รถกอล์ฟ รถกอล์ฟนั่งได้ 4 คน 2 ชั่วโมง 500 บาทมั้งคะ จำไม่ค่อยได้แล้ว และไม่ได้ถ่ายป้ายมาด้วย ( ̄▽ ̄;)ゞ


รถลากที่จะพาชมสันเขื่อนและพาไปไหว้พระใหญ่ที่ฝั่งสระบุรีจะอยู่ตรงหน้าเขื่อนค่ะ กว่าเราจะมาถึง แถวก็ยาวใช้ได้แล้วเหมือนกัน ต้องรอรอบถัดไปด้วย แต่รอไม่นานหรอกค่ะ




ตั๋วรถลาก
ผู้ใหญ่ 25 บาท
เด็ก 10 บาท
แต่ละรอบใช้เวลา 50 นาที และจะเปิดขายตั๋วรอบต่อรอบค่ะ





รถมีหลายรูปแบบค่ะ รอบนึงรับได้เกือบร้อยคน


คันนี้เราไม่ได้ขึ้นนะคะ มาไม่ทัน เต็มซะก่อน





รอประมาณ 10 นาทีคันใหม่ก็มาค่ะ จริงๆ แทบไม่ได้รอเลยแหละ กว่าจะถึงคิวซื้อตั๋ว เพิ่งหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้นั่งรอได้แป๊บเดียวรถก็มาแล้วค่ะ


รถของเราหน้าตาแบบนี้ค่ะ นั่งได้แถวละ 4 คน (บางคันก็สาม)

ส่วนหอคอยสูงๆ ที่เห็นเป็นฉากหลังนั่นคือหอคอยเฉลิมพระเกียรติค่ะ สามารถขึ้นไปชมวิวเขื่อนจากมุมสูงได้ แต่ช่วงนี้ปิดบริการค่ะ ดูปิดตาย ดูเสื่อมโทรมแปลกๆ แต่เราเคยขึ้นไปแล้ว เดี๋ยวจะเขียนถึงทีหลังนะคะ ตอนนี้ขอเป็นเรื่องรถลากก่อน (^_^)






รถออกมาแล้ว แถวซื้อตั๋วรถยาวขึ้นอีกค่ะ (*o*)







รถวิ่งผ่านสวนอะไรสักอย่าง เห็นป้ายเขื่อนป่าสักอยู่ไกลๆ เขาว่าสวนนี่ถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นเป็นเลข ๙ ด้วยค่ะ

มาเที่ยวฤดูแล้งก็ดูแห้งแล้งอย่างงี้แหละค่ะ ถ้ามาฤดูฝนอาจได้เห็นหญ้าเขียวๆ ก็ได้







เข้าโซนเขื่อนแล้วค่ะ (@⌒ー⌒@)
ระหว่างนั่งรถชมเขื่อนก็มีน้องๆ ผู้หญิง น่าจะวัยมัธยม คอยบรรยายแนะนำสถานที่ตลอดทางค่ะ



เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นโครงการในพระราชดำริของในหลวง ร.9 ค่ะ สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ปัจจุบันเขื่อนนี้ได้กลายเป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภคและทำการเกษตรของพื้นที่ในแถบนี้ (ลพบุรี สระบุรี และอาจรวมไปถึงจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง) รวมทั้งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และเป็นพื้นที่ทำการประมงด้วยค่ะ

นอกจากนี้แล้ว ที่นี่ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำด้วยนะคะ




เข้าเขตจังหวัดสระบุรีแล้วค่ะ เห็นพระใหญ่อยู่ไกลๆ (เห็นมั้ยนั่น (T∇T))

พระใหญ่ที่ว่านี้คือหลวงปู่ใหญ่ป่าสัก หรือพระพุทธรัตนมณีมหาบพิตรชลสิทธิ์มงคลชัยค่ะ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาวประทับนั่งบนดอกบัวสีชมพู สวยมากค่ะ น่าเสียดายที่วันนี้เขามีกิจกรรมอะไรสักอย่างตรงพระใหญ่ รถเลยไม่ได้จอดให้ลงไปไหว้พระค่ะ การนั่งรถลากชมเขื่อนครั้งนี้เลยใช้เวลาแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น จากปกติ 50 นาที







พอไปถึงหน้าพระใหญ่ก็วนกลับค่ะ



แม่น้ำป่าสักเดิม เห็นมั้ยคะ ที่ดูเหมือนธารน้ำเล็กๆ นั่นน่ะค่ะ

แถวนี้ยังมีอะไรอีกหลายอย่างค่ะ นอกจากโรงไฟฟ้าแล้ว ที่เราจำได้ก็มีโรงน้ำตาล "ลิน" ค่ะ







อาคารระบายน้ำล้น ถ่ายตอนนั่งรถผ่านก็เป็นอย่างงี้แหละค่ะ ( ̄▽ ̄;)ゞ








กลับมาถึงสถานีรถลากแล้วค่ะ แถวโหดขึ้นอี๊กกกก !Σ( ̄□ ̄;)

ตอนลงจากรถเขาบอกให้ลงฝั่งขวา คงกันไม่ให้ไปป๊ะกับคนที่รอขึ้นรถทางฝั่งซ้ายให้วุ่นวาย พอลงมาก็จะเจอซุ้มขายของที่ระลึกพอดี อ้อ! ลืมบอกไป ตอนขึ้นรถลากจะมีคนมาถ่ายรูปเราเอาไว้ เผื่อใครสนใจสั่งทำของที่ระลึกค่ะ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับหรือมาเล้าหลือเรานะคะ ถ้าเราไม่สนใจ ตอนลงจากรถก็แค่เดินออกไปเลยโดยไม่ต้องแวะซุ้มก็พอค่ะ







ส่วนพวกนี้อยู่ตรงหน้าเขื่อน ตรงสถานีรถลากพอดี เลยถ่ายไว้ค่ะ คำอธิบายอยู่ในภาพแล้ว ( ̄▽ ̄)





ที่นี่มีว่าวขายด้วยค่ะ ส่วนใหญ่เป็นว่าวนก แถวนี้ลมดีค่ะ เล่นว่าวได้







มาต่อในส่วนของหอคอยเฉลิมพระเกียรติกันสักหน่อย ไม่แน่ใจว่าค่าเข้าเท่าไหร่นะคะ ข้างในจะจัดแสดงนิทรรศการอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกษัตริย์ไทย สามารถชมวิวได้ 360 องศา หอนี่ไม่สูงเท่าไหร่ ไม่รู้สูงกี่เมตร เห็นบอกแค่ว่ามี 7 ชั้น แต่ก็ดีพอสำหรับการชมวิวเขื่อนจากมุมสูงแหละค่ะ



นี่คือภาพวิวเขื่อนจากบนหอคอยที่เราถ่ายไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่วิวก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกค่ะ




ส่วนนี่คืออาคารพิพิธภัณฑ์ฯ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ค่ะ อยู่ในช่วงปิดปรับปรุงเช่นกัน (-*-)








มีดอกทานตะวันให้ถ่ายรูปด้วย คนละ 5 บาท ถ่ายได้ไม่อั้น น่าจะมีคนถ่ายให้ แต่ไม่แน่ใจว่าเข้าไปถ่ายกันเองได้รึเปล่านะคะ และต้องเสียเงินด้วยรึเปล่า แต่จริงๆ 5 บาทนี่เราว่าเล็กน้อยมากนะ

มีป้ายเขื่อนอยู่ใกล้ๆ กัน แต่คนเยอะมากค่ะ หาจังหวะโล่งๆ ถ่ายไม่ได้เลย ก็เลยไม่ถ่ายละกัน (T∇T)






รถลากออกเดินทางอีกครั้ง






เนื่องจากทุกอย่างปิดบริการไปหมด เลยไม่มีอะไรให้ทำมากนักค่ะ เราลองเดินเลาะๆ มาริมน้ำ เผื่อมีที่ให้นั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ซื้อติดมาจากกรุงเทพตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่มีตรงไหนที่พอจะนั่งได้เลย โอเคค่ะ กลับไปที่ซุ้มม้าหินอ่อนละกัน (T∇T)




ที่นี่มีจักรยานให้เช่าด้วยค่ะ คันเล็กสำหรับเด็ก 40 บาท คันใหญ่มีราคา 50, 60, 80, 100 บาทค่ะ

ถัดเข้าไปในหลังคาจะเป็นซุ้มม้าหินอ่อนค่ะ โซนนี้จะมีมินิมาร์ท 2 ร้าน ร้านขายของฝาก ร้านขายของทานเล่น พวกลูกชิ้น น้ำ ไอติม และมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ ค่ะ




กินข้าวเหนียวหมูปิ้งหมดก็ตบท้ายด้วยของหวานค่ะ น้ำแข็งไสเย็นๆ ในวันอากาศร้อนๆ นี่ดีจริงๆ ค่ะ ถ้วยละ 15 บาท มีเครื่องให้เลือกแค่ 4 อย่าง จำได้ว่ามีเฉาก๊วย ลูกชิด ขนมปัง อีกอย่างน่าจะเป็นสับปะรดหรือมันเชื่อมนี่แหละค่ะ ส่วนน้ำหวานมีให้เลือกระหว่างน้ำเขียวกับน้ำแดงค่ะ






แถวๆ หน้าเขื่อนจะมีเจ้าหน้าที่คอยประกาศเตือนเรื่องเวลาให้กับคนที่มากับรถไฟตลอดค่ะ ช่วง 1 ชั่วโมงสุดท้ายจะเตือนค่อนข้างถี่ และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เหลือน้อยลง กว่าเราจะกินเสร็จก็สมควรแก่เวลาพอดี เลยไปต่อคิวเข้าห้องน้ำ ซื้อของฝาก แล้วเดินกลับไปที่สถานีค่ะ


มาถึงสถานีก็เจอรถไฟจอดรออยู่แล้วค่ะ จากหน้าเขื่อนมาที่สถานีก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ต้องเดินไปตู้ตัวเองที่อยู่ท้ายสุดของขบวนอีก โฮกกกกกกกก (= =")







รถไฟยังไม่ออกก็ถ่ายรูปเล่นไปก่อนค่ะ (@⌒ー⌒@)



ถ่ายติดแสงเหนือด้วย (*o*)
คิดว่าคงเพราะเลนส์กล้องเป็นรอย พอเจอสภาพแสงและทิศทางที่พอเหมาะมันเลยขึ้นมาแบบนี้น่ะค่ะ ( ̄▽ ̄;)




ตอนนั่งรถไฟกลับ ทีมงานที่เขื่อนมายืนโบกมือส่งพวกเราที่สถานีด้วยค่ะ น่ารักดี ヾ(@⌒ー⌒@)ノ
แต่ปีหน้าอยากให้พร้อมกว่านี้ อย่ามาปิดปรับปรุงอะไรตอนจะจัดทริปได้มั้ยคะ (T^T)






กลับมาที่อยุธยาอีกครั้งค่ะ



อยุธยา เมืองแห่งเจดีย์
เราเล็งไว้ตั้งแต่ขามาแล้วค่ะ แต่ถ่ายไม่ทัน เพราะฉะนั้นขากลับเราต้องไม่พลาด (〃∇〃)








พอเข้าเขตกรุงเทพ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าแถวแยกนรกยมราช (คำว่าแยกนรกเราเติมเองค่ะ) รถจะติดหนักมาก อาจทำให้ถึงสถานีกรุงเทพล่าช้าไป 1 ชั่วโมง และแนะนำให้ลงที่บางซื่อ ซึ่งสามารถต่อรถไปได้หลายเส้นทาง MRT บางซื่อก็อยู่ใกล้ๆ กัน แค่เดินออกจากสถานีมาก็เจอแล้ว เราเลยตัดสินใจลงที่บางซื่อค่ะ








เจอรถไฟหรูในตำนานด้วยค่ะ (*o*)

นี่คือรถไฟ Eastern & Oriental Express เป็นรถไฟท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยมที่วิ่งระหว่างไทย - มาเลเซีย - สิงคโปร์ค่ะ สำหรับไทยจะมาสุดที่กรุงเทพ แต่จะพาไปเที่ยวกาญฯ ด้วยค่ะ ราคาก็เบาๆ ค่ะ เริ่มต้นที่คนละประมาณ 6 หมื่นปลายๆ ไปจนถึง 2 แสนกว่าเท่านั้นเอ๊งงงงงง (เสียงสูง) ราคาขึ้นอยู่กับระยะทาง ระยะเวลาในการเดินทาง และจำนวนผู้โดยสารค่ะ (เดินทางคนเดียวจะแพงกว่าเกือบเท่าตัว)




หลังจากรถหรูผ่านไป รถไฟของเราก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางต่อไปยังสถานีกรุงเทพค่ะ




ในส่วนของตัวเรานั้นก็ลงที่บางซื่อแล้วต่อ MRT กลับบ้านค่ะ ตอนอยู่บนรถไฟฟ้านี่โคตรเกรงใจเพื่อนร่วมทางเลยค่ะ คือตัวเหม็นมาก มันเป็นกลิ่นเหงื่อผสมสนิมอะ กลับถึงบ้านนี่ต้องรีบอาบน้ำเลยค่ะ ใช้เวลาอาบน้ำไปเป็นชั่วโมงเลย ฝุ่นธรรมดาว่าหนักแล้ว ฝุ่นสนิมร้ายยิ่งกว่า เหมือนกลิ่นสนิมฝังไปทุกอณูของร่างกายเลยค่ะ (T^T)

ปกติเวลารถไฟวิ่ง ล้อจะเสียดสีราง และขัดสนิมออกมาเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว พอนั่งรถแบบไม่มีแอร์ที่ต้องเปิดหน้าต่าง ฝุ่นสนิมพวกนี้เลยเข้ามาเกาะตัวเรานี่แหละค่ะ







ส่วนนี่คือของฝากที่เราซื้อมาจากเขื่อนป่าสักค่ะ


เต็มไปด้วยองุ่น ความชอบส่วนตัวน่ะค่ะ ( ̄▽ ̄)
3 อย่าง 100 บาท ได้คุกกี้องุ่นมากล่องนึงกับพายองุ่นอีก 2 กล่องค่ะ พายองุ่นเห็นมี 2 เจ้า เลยลองซื้อมาเทียบกันดูซะเลย ( ̄▽ ̄)




คุกกี้องุ่น
อร่อยดีค่ะ รสคล้ายๆ คุกกี้วานิลลาริงที่มีแยมด้วย แยมองุ่นที่ป้ายหน้าอยู่อร่อยดี แต่มันเหนียวติดฟันง่ะค่ะ ถึงจะพอรู้อยู่แล้วก็เหอะ แต่ก็ยังไม่ค่อยโอเคอยู่ดีค่ะ (T^T)




พายองุ่นกล่องที่ 1 ชิ้นเกือบพอดีคำ บางชิ้นก็กินคำเดียว บางชิ้นก็สอง ไม่ค่อยรู้สึกถึงไส้เท่าไหร่ สัมผัสได้แต่รสแป้งพายมากกว่า แป้งเขาก็ไม่ได้แย่อะไรนะคะ แต่เราอยากให้ใส่ไส้มากกว่านี้


ส่วนอีกกล่องยังไม่ได้แกะค่ะ ไว้เดี๋ยวแกะลองเมื่อไหร่จะมาอัพเดทให้อีกทีนะคะ







ทริปนี้สำหรับเราถือว่าเกือบดีค่ะ ได้เห็นรถไฟลอยน้ำ ได้ชมวิวกลางเขื่อน มันก็ว้าวดี แต่น่าเสียดายตรงที่อะไรหลายๆ อย่างที่เขื่อนปิดปรับปรุงซะเกือบหมด เลยไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวให้ดูเท่าไหร่น่ะค่ะ ทุ่งทานตะวันก็ไม่ปลูกกัน ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากให้ทางเขื่อนปลูกเองซะเลยค่ะ ถ้ายังพอมีที่เหลืออยู่บ้าง น่าจะเรียกนักท่องเที่ยวได้อีกเยอะเลย จริงๆ ปีนี้เขาจะไม่จัดทริปนี้แล้วด้วยซ้ำค่ะ แต่สุดท้ายก็จัดให้ และได้รับการตอบรับดีมาก


ส่วนรถไฟ เราอยากให้เพิ่มตู้แอร์เข้ามาด้วยจังค่ะ คิดราคาแพงขึ้นอีกก็ได้ บางคนเขาก็ยินดีจ่ายเพื่อความสบายนะ เผลอๆ ตู้แอร์จะเต็มเร็วกว่าตู้พัดลมอีก


ความเลอค่าของทริปนี้อยู่ที่ความเป็น Seasonal Limited นี่แหละค่ะ ตบตีแย่งชิงตั๋วกันหนักมาก ตั๋วเต็มตั้งแต่ 2-3 วันแรกที่เปิดจองเลยหละค่ะ







สำหรับคนที่สนใจ นี่คือวิธีจองตั๋วค่ะ
  • ไปจองที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วสถานีไหนก็ได้ แต่ต้องไปขึ้นที่สถานีที่รถจะจอดเท่านั้นนะคะ
  • โทรจองตั๋วที่เบอร์ 1690 จองได้ก่อนเดินทางไม่ต่ำกว่า 5 วัน ถ้าเหลือน้อยกว่า 5 วันต้องไปจองที่สถานี ตอนจองต้องแจ้งสถานีที่จะขึ้น ชื่อและเลขบัตรประชาชนของผู้เดินทาง และต้องไปจ่ายเงินพร้อมรับตั๋วที่สถานีภายใน 24 ชม. มิฉะนั้นตั๋วจะหลุดค่ะ และสถานีรถไฟมีเวลาปิด กรุณาเช็คเวลาด้วยนะคะ ว่ามันปิดกี่โมง ตอนโทรไปจองก็ถามเจ้าหน้าที่ call center เขาก็ได้ค่ะ
นี่คือวิธีจองตั๋วมาตรฐานของรฟท.ค่ะ จองทริปอื่น ขบวนอื่นก็ประมาณนี้ ตอนนี้มีเปิดให้จองออนไลน์แล้ว แต่ยังใช้จองตั๋วรถท่องเที่ยวไม่ได้ค่ะ และจองได้แค่รถบางประเภทเท่านั้น เราเองก็ไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้างนะคะ










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น