ช่วงสายๆ ก็แว้บไปเดินสำรวจแถวๆ สถานีก่อน รับตั๋วตรงไหนอะไรยังไง
ที่นั่งรอรถไฟ
ร้านค้าแถวสถานี
น้องแมวแถวสถานี น่าจะเป็นแมวของร้านค้าแถวนั้นค่ะ ดูเป็นแมวเลี้ยง สวย เชื่อง ขนนุ่มด้วย (@⌒ー⌒@)
ห้องจำหน่ายตั๋ว
เรามาช่วงที่ไม่มีรถผ่านค่ะ เลยปิดอย่างงี้แหละ ( ̄▽ ̄;)ゞ
ตารางเดินรถ
ขบวน 909 เป็นขบวนนำเที่ยวพิเศษที่มีแค่วันเสาร์ - อาทิตย์ค่ะ จะจอดให้เที่ยวที่สะพาน 30 นาที ส่วนขากลับจะไม่จอดค่ะ
นี่คือสาเหตุที่มาแล้วเจอห้องจำหน่ายตั๋วปิดค่ะ เพราะมันยังไม่ถึงเวลา
ส่วนเรื่องบัตรประชาชนนี่เรายังงงๆ อยู่ค่ะ เขาร้องขอบัตรก็จริง แต่เขาไม่ได้สนใจบัตรเราเลย แค่ยื่นให้ดูให้เขารู้ว่าเรามีบัตรเฉยๆ แล้วเขาก็ฉีกตั๋วให้ ตั๋วก็พิมพ์ไว้แล้ว ต่อให้เป็นตั๋วที่ออกสดๆ อย่างที่ธนบุรี เขาก็ไม่ได้ลงเลขบัตรค่ะ หรือเพราะมันฟรีก็ไม่รู้ อย่างรถไฟนำเที่ยวที่ต้องเสียตังค์นี่ลงทั้งชื่อทั้งเลขบัตรเลยค่ะ
ชาวต่างชาติคนละร้อย เราว่ามันก็ไม่แพงนะคะ รถไฟฟรีมาจากภาษีประชาชน แต่ชาวต่างชาติเขาไม่ได้มาเสียภาษีกับเราสักหน่อย
แผนที่จังหวัดกาญจนบุรี
บริเวณใกล้ๆ สถานีรถไฟ มีสิ่งที่เราเรียกว่าสวนรถไฟด้วยค่ะ
มีหัวรถจักรไอน้ำตั้งโชว์อยู่ 2 คัน กับรถอะไรสักอย่างที่เราไม่รู้ชื่อเรียก แต่ก็เป็นรถไฟชนิดหนึ่งเหมือนกันค่ะ
ใกล้เวลาออกเดินทางก็มารับตั๋วค่ะ สายนี้เป็นรถฟรี
รถไฟมาแล้ว!!
เลทไปประมาณ 10 นาที
ได้ฤกษ์บอกลากาญจนบุรีและสะพานข้ามแม่น้ำแควแล้วค่ะ
ขบวนนี้ยาวมากค่ะ เหมือนจะพ่วงตู้กาญจนบุรี - น้ำตกมาด้วย ซึ่งปกติจะไปตัดทิ้งไว้ที่สถานีกาญจนบุรี แต่รอบนี้เขาบอกว่าเข้ากรุงเทพหมด จะนั่งตู้ไหนก็ได้ค่ะ
ขึ้นมาก็เจอคุณลุงที่เจอกันตอนขามาอีกรอบค่ะ คุณลุงก็ถามว่าไปเที่ยวไหนมามั่ง เราก็บอกว่าเที่ยวแค่ตรงสะพานนี่แหละ เราเดินๆ หาที่นั่งแบบที่เราชอบที่ได้นั่งตอนขามาจนไปถึงตู้ท้ายๆ ก็เจอแต่แบบมาตรฐาน ที่เป็นเบาะนวมหันหน้าเข้าหากันเป็นบล็อคๆ บล็อคละ 4 คนน่ะค่ะ แถบที่เราไปนั่งเป็นตู้กาญจนบุรี - น้ำตกที่เราบอกไว้ตอนแรก มีป้ายห้อยไว้ว่าค่าโดยสารคนละ 100 บาท เราก็เอ๊ะ? ยังไง? คุณลุงบอกนั่งได้ค่ะ ปกติเป็นตู้พิเศษสำหรับชาวต่างชาติ แต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ เลยกลายเป็นตู้ธรรมดาไป งงมั้ย? ( ̄▽ ̄;)
ตู้ที่เรานั่งคนน้อยมากค่ะ มีไม่ถึง 10 คน เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วก็แซวว่าจะเหมาตู้เหรอ (T∇T) ปกติเจ้าหน้าที่พวกนี้เขาไม่แซวใครสุ่มสี่สุ่มห้านะคะ เขาจะเล่นกับคนคุ้นเคยเท่านั้น และคงเห็นเราคุยกับคุณลุง เลยคิดว่าน่าจะคุยเล่นด้วยได้ ก็ดีค่ะ นี่เป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรก เราก็เหงาๆ คุยกับเรามั่งเห๊อะ (T∇T)
มาถึงสถานีกาญจนบุรี ก็เจอเจ้านี่จอดอยู่ค่ะ
รถไฟที่ใช้ในการแสดงแสงสีเสียงที่งานสะพานมาจอดอยู่ที่นี่เอง (〃ω〃)
วิวข้างทาง ถึงจะเป็นแค่ไร่อ้อยธรรมดา แต่ก็สวยดีนะคะ (^_^)
รถวิ่งต่อไปสักพักก็สวนกับรถสายธนบุรี - น้ำตกรอบบ่ายพอดี ヾ(@⌒ー⌒@)ノ
ถึงสถานีชุมทางหนองปลาดุกแล้วค่ะ สถานีน่ารักในความทรงจำของเรา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เราว่ามันน่ารักอะ ชื่อก็น่ารัก อาคารสถานีก็น่ารัก (@⌒ー⌒@)
มีช่วงนึงที่จอดรอรางอยู่ที่สถานีไหนสักที่ เพราะเป็นทางเดี่ยว เราก็เดินไปถามเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่ที่ตรวจตั๋วให้เรา คุยไปคุยมาเขาก็ถามว่าจะเข้ากรุงเทพใช่มั้ย เปลี่ยนไปขึ้นอีกขบวนมั้ย มันมีอีกขบวนตามหลังมา และขบวนนั้นจะเข้ากรุงเทพ ขบวนที่เราขึ้นมันเข้าธนบุรี อาจเดินทางเข้ากรุงเทพชั้นในลำบาก ไปเปลี่ยนแถวศาลายาก็ได้ แถวนั้นมีร้านค้าให้เดินเล่นซื้อของกินอยู่
พอลองเช็คดู รถขบวนที่ว่านั้นน่าจะจอดนครปฐมด้วย เราอยากไปพระปฐมเจดีย์ ดูเวลาแล้วก็น่าจะพอเที่ยวทัน พอกลับไปถามเจ้าหน้าที่คนนั้นเขาก็ยืนยันว่าจอด แล้วเขาก็เตือนให้เช็คเวลาที่รถจะมาถึงให้ดีๆ จะได้ไม่ตกรถ เราก็ขอบคุณเขา แล้วก็ลงที่นครปฐมค่ะ
มาถึงนครปฐมประมาณ 16:35 ก็ไปรับตั๋วก่อนค่ะ
เป็นรถฟรีเหมือนกัน รถออก 17:16 มีเวลาประมาณ 35 นาทีในการเที่ยว
ที่สถานีนครปฐมคึกคักมากค่ะ คงเพราะเป็นสถานีใหญ่ด้วยแหละ เราเดินวนหาห้องรับฝากสัมภาระ ปรากฏว่าหาเจอ แต่อยู่ในช่วงงดรับฝากค่ะ แง่วววววว (T^T)
เอาไงดี กระเป๋าก็หนัก จะให้นั่งแกร่วอยู่ที่สถานีกว่าครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกเสียชาติเกิดยังไงก็ไม่รู้ เอาก็เอาวะ ได้แวะนครปฐมทั้งทีก็ต้องไป กระเป๋าเราเป็นเป้ 2 ใบ ใบนึงเป็นเป้สัมภาระ อีกใบเป็นเป้พกพา ก็แบกไปค่ะ ใบนึงเกาะหลัง ใบนึงเกาะหน้า เฮ้! (T∇T)
ออกมาจากสถานี เห็นพระปฐมเจดีย์อยู่ลิบๆ เดินค่ะ ( ̄▽ ̄)
แถวนี้ตอนเย็นๆ รถโหดมากค่ะ ทั้งรถใหญ่รถเล็กวิ่งวุ่นวายไปหมด หาจังหวะข้ามถนนยากมาก
แถวนี้ตอนเย็นๆ รถโหดมากค่ะ ทั้งรถใหญ่รถเล็กวิ่งวุ่นวายไปหมด หาจังหวะข้ามถนนยากมาก
ด้านหน้าสถานี
ภาพไกลไปหน่อยนะคะ พอดีเดินมาได้ระยะนึงแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรถ่าย แฮร่~ ( ̄▽ ̄;)ゞ
ข้างทางมีของกินขายเต็มเลยค่ะ เราแอบสนใจฮ่อยจ๊ออยู่ แต่แอบแพง ถึงลูกจะใหญ่กว่ามาตรฐานค่อนข้างเยอะก็เหอะ ไงๆ ก็ขอตัดสินใจก่อนละกันค่ะ ( ̄▽ ̄;)
ถึงแล้วค่ะ พระปฐมเจดีย์
พระร่วงโรจนฤทธิ์
ทำบุญระฆังเงิน - ระฆังทอง
ระฆังน้อยๆ ใบละ 20 บาท ได้มาก็เขียนชื่อ อธิษฐานขอพร แล้วเอาไปแขวนกับต้นระฆัง เสร็จแล้วก็สั่นระฆังใหญ่อีกทีนึง เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ
ไหว้พระ ทำบุญระฆังเสร็จ ถ่ายรูปเล่นอีกนิดๆ หน่อยๆ ก็หมดเวลาแล้วค่ะ ต้องรีบกลับไปสแตนด์บายที่สถานีแล้ว เดี๋ยวจะตกรถไฟเอา
เรากลับไปถึงสถานีก่อนรถไฟมาแค่ 1-2 นาที แล้วรถไฟก็มาถึงตรงเวลาเป๊ะเลยค่ะ ไม่ทันได้ถ่ายรูปอะไรเลย (T∇T)
ขึ้นมาบนรถไฟแล้ว นี่คือฮ่อยจ๊อปู-กุ้งที่เราเล็งไว้ตั้งแต่ตอนเดินไปพระปฐมเจดีย์ค่ะ ลูกละ 15 บาท แต่ใหญ่กว่าฮ่อยจ๊อทั่วไปประมาณ 2 เท่าได้ ทอดกรอบนอกนุ่มใน รอบๆ เป็นกุ้ง ตรงกลางเป็นปู กุ้งเป็นกุ้ง ปูเป็นปู ในส่วนของรสชาตินั้น สำหรับเราถือว่าเยียวยาอาการบาดเจ็บจากราคาได้ดีมากทีเดียวค่ะ (@⌒ー⌒@)b
รถที่เราขึ้นเป็นสายหัวหิน - กรุงเทพค่ะ เป็นรถดีเซลราง คนเยอะมาก ที่นั่งแบบบุนวมก็มี แต่คิดว่ามันจะเหลือถึงเราเหรอคะ (T∇T) ก็นั่งแบบเบาะพลาสติกแข็งๆ ไปค่ะ ไม่ได้นั่งแบบบล็อค 4 คนก็ดีแค่ไหนแล้ว เราไม่เคยนั่งแบบนั้นสักที แต่ก็พอจะรู้ว่ามันแย่อะค่ะ ที่วางขาแคบมากจนเข่าแทบจะเกยกัน แล้วมันเป็นที่นั่งแบบพลาสติกแข็งๆ พนักพิงตรงแน่ว แถมยังทำรอยนูนเป็นบล็อคไว้อีก ให้นั่ง 2-3 ชั่วโมงนี่ทรมานนะคะ
รูปในรถเราถ่ายตอนใกล้ถึงแล้วค่ะ คนลงไปเกือบหมดแล้ว เราไม่ค่อยกล้าถ่ายตอนคนเยอะๆ เท่าไหร่ ช่วงที่คนเยอะๆ ก็มีคนยืนกันเยอะเหมือนกันค่ะ
ถึงหัวลำโพงแล้วค่ะ เลทไปประมาณ 20 นาที น่าจะเสียเวลาไปตอนติดไฟแดง เพราะแถบกรุงเทพน่าจะเป็นทางคู่หมดแล้ว (ถ้าไม่นับสายตะวันตกตรงธนบุรี) เท่าที่รู้มา รถไฟประเทศกรุงเทพต้องติดไฟแดงนะคะ ต้องรอให้รถยนต์ไปก่อนด้วยนะ (T∇T)
นี่คือรถที่เรานั่งมาค่ะ
นี่คือรถนอน CNR ใหม่ กำลังฉีดน้ำทำความสะอาดกันอยู่เลยค่ะ (@⌒ー⌒@)
ส่วนนี่คือบรรยากาศภายในสถานีกรุงเทพหรือที่เราเรียกกันติดปากว่าหัวลำโพงค่ะ
บริเวณชานชาลา
พื้นที่นั่งรอ มีร้านอาหารด้วยนะคะ
เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ประตูที่เห็นตรงกลางคือประตูเข้าไปที่ชานชาลาค่ะ
ปิดท้ายด้วยโปสการ์ดที่เราซื้อมาเป็นที่ระลึกจากร้านขายของฝากแถวๆ สะพานข้ามแม่น้ำแควค่ะ
เราลองส่งโปสการ์ดให้ตัวเองจากกาญฯ ดูค่ะ ตอนแรกคิดว่าน่าจะได้เป็น ส.ค.ส. ปีใหม่ให้ตัวเองพอดี ไปๆ มาๆ เลยปีใหม่มาเกือบเดือนแล้วเพิ่งจะได้เองค่ะ (T∇T)
ตอนแรกคิดว่าเขาคงไม่ค่อยไปไขตู้ไปรษณีย์แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้คนคงไม่ค่อยส่งจดหมายกันแล้ว แต่ปรากฏว่าตราประทับลงวันที่หลังจากวันที่เราส่งแค่วันเดียวเองค่ะ ทำไมถึงใช้เวลาเดินทางถึง 50 วันก็ไม่รู้ นี่แค่กาญจนบุรี - กรุงเทพเองนะคะ ถ้าเราส่งจากกระบี่นี่ไม่ต้องเขียนคำขึ้นต้นว่า "ถึงตัวฉันในปีหน้า" เลยเรอะ (T∇T)
แต่สภาพโปสการ์ดดีมากนะคะ ไม่มียับ ไม่มีเปื่อย มีแค่รอยเปื้อนหมึกจากตราประทับนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเองค่ะ (^∇^)
จบทริปค่ะ.
เป็นการไปเที่ยวต่างจังหวัดคนเดียวครั้งแรก เที่ยวค้างคืนคนเดียวครั้งแรก คือมันก็เหงาอยู่แหละค่ะ ไม่มีใครให้คุยหรือหัวเราะไปด้วยกัน แต่ก็สนุกไปอีกแบบ เราทำอะไรตามใจตัวเองได้เต็มที่ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคอยเกรงใจใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นเพราะไม่มีคนช่วยหาร ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากไปกับเพื่อนมากกว่าแหละค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น