จริงๆ เราอยากนั่งรถไฟไปกาญฯ มาสักพักแล้วค่ะ เราเคยไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว 2 ครั้งได้มั้ง แต่ก็วนเวียนอยู่แค่ตรงสะพาน ไม่ได้เที่ยวสำรวจโซนนี้จริงจังซะที และดูเหมือนที่นี่จะมีช่วงที่จัดงานแสดงแสงสีเสียงอยู่ด้วย พอลองหาข้อมูลดูก็พบว่ามีจริงๆ ค่ะ และมักจะจัดช่วงปลายเดือนพฤศจิกาถึงต้นเดือนธันวาของทุกๆ ปี นอกจากนี้ ที่นี่ยังอยู่ใกล้สถานีรถไฟสะพานแควใหญ่อีกด้วย เลยคิดว่าถ้าได้นั่งรถไฟมาเที่ยวก็คงสนุกดี แถมยังเป็นรถฟรี ประหยัดค่าเดินทางไปได้อีก ( ̄▽ ̄)
เราเช็คตารางเดินรถจากเว็บของ รฟท. พบว่ารถไฟไปสะพานแควใหญ่มีวันละ 2 รอบ คือรอบเช้า ออก 7:55 ไปถึงสะพานตอน 10:42 กับรอบบ่าย ออก 13:55 ไปถึงสะพานตอน 16:32 และต้องขึ้นจากธนบุรีด้วยค่ะ คือไม่มีรถที่ออกจากหัวลำโพงหรือบางซื่อที่รถไฟฟ้าเข้าถึงเลย (T-T)
แต่ก็ยังดีค่ะ ที่สถานีธนบุรีสามารถเข้าถึงได้ด้วยเรือด่วนเจ้าพระยา เราเลยตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปลงที่สะพานพุทธ แล้วต่อเรือด่วนเจ้าพระยาไปลงที่ท่ารถไฟ ซึ่งอยู่ตรงโรงพยาบาลศิริราชพอดีค่ะ
นี่เป็นประสบการณ์การขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยาครั้งแรกของเราเลยค่ะ เพิ่งรู้ว่าท่าเรือเขาดีขนาดนี้ ใหญ่โต สวยงาม สะอาดสะอ้าน (จริงๆ ก็เคยนั่งเรือไปเอเชียทีคอยู่แหละค่ะ แต่ก็ไม่เคยเข้าไปในส่วนของท่าเรือด่วนเจ้าพระยาสักที ( ̄▽ ̄;)ゝ) แถมผู้โดยสารก็วินัยดีด้วยค่ะ ไม่มีใครลงไปรอตรงโป๊ะเลย แม้จะไม่มีที่กั้นหรือเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าก็ตาม ทุกคนจะรออยู่บนท่า พอเห็นเรือที่จะขึ้นแล่นเข้ามาใกล้ถึงจะออกไปรอที่โป๊ะกันค่ะ
ส่วนเรื่องของธงก็ดูน่าเวียนหัวอยู่ทีเดียว เขาว่ากันว่าธงบางสีจะไม่จอดบางท่า เราเลยไปเข้าเว็บของ เรือด่วนเจ้าพระยา และเซฟรูปนี้ไว้ค่ะ
จริงๆ ท่ารถไฟก็จอดกันทุกสีธงนะคะ แต่เรือที่เราเห็นบ่อยสุดคือธงส้มกับธงฟ้า ธงส้มเป็นเรือด่วนทั่วไป จอดเกือบทุกท่า ราคา 14 บาทตลอดสาย ส่วนธงฟ้าเป็นเรือท่องเที่ยวค่ะ ราคา 40 บาทตลอดสาย จะจอดตามท่าที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งบางท่าเรือทั่วไปจะไม่จอด
เราขึ้นเรือธงส้มจากสะพานพุทธมาลงที่ท่ารถไฟ จากท่ารถไฟ เดินทะลุเข้าเขตโรงพยาบาลไปนิดหน่อยจะมีรถสองแถวแดงไปสถานีรถไฟค่ะ ราคาเท่าไหร่ไม่รู้ไม่ได้ขึ้น เราลองเดินดูและพบว่ามันเดินไปได้และไม่ไกลเท่าไหร่เลยเดินไปค่ะ
แต่เพราะเราตัดสินใจผิดพลาด เราออกจากบ้านสายกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ยังดึงดันจะขึ้นรถเมล์แทนที่จะขึ้นรถไฟฟ้า (ถ้าขึ้นรถไฟฟ้า สามารถขึ้น BTS มาลงที่สถานีสะพานตากสิน แล้วต่อเรือด่วนเจ้าพระยาไปได้ค่ะ) เจอรถติดอีกอะไรอีก กว่าจะไปถึงก็สายไปเกือบชั่วโมงแล้วค่ะ รถไฟสมัยนี้ก็ไม่ค่อยเลทแล้วด้วย ก็ตกรถไฟสิคะ (T∇T)
ไม่เป็นไรค่ะ ตกรอบแรกยังมีรอบสอง รอไปอีก 6 ชม. พี่วินแถวนั้นเสนอทางเลือกให้ไปขึ้นรถตู้ที่สายใต้ แต่ยังไงดีล่ะ วันนี้อากาศดี๊ดีอะ ทางรถไฟก็ดูน่าสนใจดีอะ เก๊าอยากนั่งรถไฟอะ (ToT)
หันซ้ายหันขวาหาทางออกให้ชีวิต สายตาเหลือบไปเห็นห้องรับฝากสัมภาระ เลยลองไปถามเจ้าหน้าที่ออกตั๋วดู เขาบอกว่าให้มารับตั๋วก่อนรถออกไม่เกิน 1 ชม. คือเขาจะไม่ออกตั๋วให้ก่อนหน้านั้นน่ะค่ะ ถ้าจะฝากสัมภาระก็เปิดห้องเข้าไปได้เลย จะมีเจ้าหน้าที่รับฝากอยู่ค่ะ
เราก็เข้าไปในห้องฝากของตามป้าย มันเป็นออฟฟิศของเจ้าหน้าที่เขาเลยค่ะ มีมุมเล็กๆ สำหรับวางของอยู่ มีกระเป๋าของใครสักคนวางไว้ก่อนแล้ว เขาจะคิดค่าฝากชิ้นละ 10 บาท แล้วจะขอบัตรประชาชนไปลงข้อมูลและออกใบรับของให้ เวลาจะรับของคืนก็เอาใบนี่ไปยื่นค่ะ
เครื่องชั่งน้ำหนัก ไม่แน่ใจว่าเอาไว้ชั่งอะไรกันแน่ เพราะชั่งได้ถึง 1 ตันแน่ะค่ะ
ฝากของแล้ว สบายตัวแล้ว เราก็ไปนั่งเรือเล่นค่ะ จริงๆ ก็ไม่เชิงนั่งเรือเล่นหรอกค่ะ นั่งไปทำธุระแล้วก็นั่งกลับมาค่ะ ขึ้นธงส้มล้วนๆ อย่างที่บอกไปตอนแรกหละค่ะ ว่ามันไม่ค่อยมีธงอื่นผ่านมาเท่าไหร่ ระหว่างทางก็ได้ถ่ายรูปเล่นบ้าง ทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยานี่ดีงามจริงๆ ค่ะ
ไปแอบถ่ายบ้านใครเขาก็ไม่รู้ แต่ดูวินเทจดีอะ ( ̄▽ ̄)
ตึกไปรสนียาคาร ที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรกของไทย ที่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์กิจการไปรษณีย์ไทยไปแล้ว
Royal Seminary หรืออาคารสุนันทาลัยที่แม่น้ำ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ปัจจุบันอาคารนี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนราชินีค่ะ
กลับมาถึงท่ารถไฟอีกครั้ง ตรงท่ารถไฟจะมีร้าน Blue Cup (เครือเดียวกับ S&P) อยู่ค่ะ ตอนนั้นประมาณเที่ยงๆ แต่เราไม่รู้สึกหิวเลย เลยแวะซื้อพาย 2 ชิ้นติดกระเป๋าไว้ เผื่อหิวเมื่อไหร่จะได้กิน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะมีแม่ค้าขึ้นมาขายอาหารบนรถไฟมั้ย และจะมีอะไรที่เราอยากกินรึเปล่า
เหลือเวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง เราเลยเดินเล่นสำรวจแถวๆ ท่ารถไฟรอเวลาไปก่อนค่ะ เจอพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน คิดว่าน่าสนใจดี เลยว่าจะเข้าไปดูซะหน่อย แต่ตัวหนังสือหน้าประตูบอกว่าปิดวันอังคาร และวันนี้เป็นวันอังคาร มันช่างบังเอิญอะไรอย่างงี้ (T-T)
โอเคค่ะ พิพิธภัณฑ์ปิด เข้าไม่ได้ เดินวนๆ อยู่ข้างนอกก็ได้ค่ะ วันนี้อากาศดี ลมดี ไม่มีแดด ใกล้ๆ กันมีหัวรถจักรไอน้ำสีดำแซมเขียวเข้มตั้งเด่นเป็นสง่า ตัดกับพื้นสีขาวและสนามหญ้าสีเขียว เป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ
บริเวณนี้เคยเป็นสถานีรถไฟธนบุรีมาก่อนค่ะ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ตรงสถานีธนบุรีปัจจุบัน และอาคารพิพิธภัณฑ์นั่นก็เคยเป็นอาคารสถานีรถไฟธนบุรีมาก่อนเช่นกันค่ะ
ป้ายที่สถานีธนบุรี นี่คงเป็นป้ายเก่าที่เขายังเก็บเอาไว้ และตัดสินใจไม่แก้ไขอะไรทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าสถานีนี้เดิมเคยเป็นสถานีบางกอกน้อย ก่อนที่เขาจะย้ายสถานีธนบุรีมาไว้ที่นี่แทนค่ะ
ส่วนนี้คือป้ายสถานีธนบุรีค่ะ
กลับมาที่แถวๆ ท่ารถไฟ
พลับพลาสยามินทราศิริราชานุสรณีย์
พลับพลานี้ก็ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันนี่แหละค่ะ
ส่วนนี่คือสวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาค่ะ
เป็นสวนสาธารณะริมน้ำ ช่วงแดดร่มลมตกนี่บรรยากาศดีมากค่ะ
นั่งเล่นอยู่แถวๆ ท่ารถไฟสักพัก พอใกล้ๆ บ่ายโมงก็เริ่มออกเดินไปสถานีรถไฟค่ะ ระหว่างทางเจอร้านภูฟ้า ตั้งอยู่ตรงข้ามตลาดหน้าสถานีรถไฟ ดูน่าสนใจดี ประกอบกับเราร้อน เราเหนื่อย เราอยากได้เครื่องดื่มหวานๆ เย็นๆ สดชื่นๆ มาเติมพลังให้ตัวเองสักหน่อย ป้ายเมนูหน้าร้านบอกว่ามีชา กาแฟ โกโก้ ซึ่งเราแพ้คาเฟอีน แต่เห็นว่ามีชาสมุนไพรด้วย เลยลองเข้าไปดูค่ะ
แล้วก็ได้น้ำตะไคร้กระป๋องเย็นๆ มาค่ะ กระป๋องละสิบกว่าบาท 16 หรือ 18 ก็ไม่แน่ใจ รสหวานอ่อนๆ กับกลิ่นตะไคร้ก็สดชื่นดีค่ะ (@⌒ー⌒@)
ร้านภูฟ้า เป็นร้านในโครงการของสมเด็จพระเทพฯ จัดตั้งขึ้นเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากโครงการส่งเสริมอาชีพให้ประชาชนที่มีฐานะยากจนในถิ่นทุรกันดารค่ะ
พอได้นั่งพักสบายๆ ดื่มอะไรเย็นๆ เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมาค่ะ บ่ายโมงกว่าแล้ว รีบไปสแตนบายที่สถานีดีกว่า เราจะตกรถไฟอีกไม่ได้ เพราะนี่เป็นขบวนสุดท้ายสำหรับวันนี้แล้ว
กลับมาที่สถานีรถไฟธนบุรีค่ะ
รถไฟมาจอดรอแล้ว (≧∇≦)
ระหว่างเดินมา เราสังเกตเห็นว่าตลาดที่หน้าสถานีวายหมดแล้ว พวกตลาดสดส่วนใหญ่ก็เปิดกันแค่ช่วงเช้าหละนะ ส่วนร้านขายของที่หน้าสถานีก็เพิ่งเปิด คิดว่าเขาคงเปิดแค่ช่วงที่มีรถไฟออก ซึ่งวันนึงก็มีอยู่แค่ไม่กี่ขบวน และก็ทิ้งช่วงห่างกันหลายชั่วโมงอยู่ค่ะ
รับตั๋วมาแล้ว เราจะไปลงที่สะพานแควใหญ่กันค่ะ
เดินไปดูหน้าขบวน เอ๊ะ! ไหงเป็นงี้ล่ะ หัวไปไหน
คิดว่าหัวคงจะตามมาทีหลังแหละค่ะ
รับกระเป๋าแล้วขึ้นไปดูบนรถกันดีกว่า
ที่นั่งบนรถขบวนนี้มี 3 แบบค่ะ ฟรีทั้งขบวน ไม่กำหนดที่นั่ง ชอบแบบไหนก็เลือกนั่งได้เลยค่ะ
แบบเก้าอี้ไม้สีเหลืองนั่งหันหน้าเข้าหากัน พื้นเป็นไม้ ดูวินเทจดีค่ะ เราชอบมาก แต่ไม่ชอบนั่ง มันเจ็บ ( ̄▽ ̄;)
ที่นั่งแบบยาวชิดริมหน้าต่าง หันหน้าเข้าหากันแบบบนรถไฟฟ้า เบาะนุ่มด้วย แต่ละล็อคนั่งได้ประมาณ 2 คน แต่ส่วนใหญ่เขาจะนั่งคนเดียวกันค่ะ เราชอบแบบนี้มาก และเหมือนจะไม่ค่อยมีด้วย ของดีมีน้อยสินะ (T-T)
แบบที่เราคุ้นเคย เบาะนุ่ม นั่งหันหน้าเข้าหากัน
ขบวนนี้มีอยู่ไม่กี่ตู้เองค่ะ ไม่น่าเกิน 6 ตู้ คนก็ไม่เต็มนะคะ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เหมือนจะเป็นชาวต่างชาติ เป็นพวกฝรั่งผิวขาว พวกคอเคเชียนน่ะค่ะ เพิ่งรู้ว่าเขาชอบรูทนี้กัน
หลังจากสำรวจภายในรถเสร็จก็หาที่นั่งค่ะ หลังจากนั่งได้ไม่นานก็เห็นหัวรถจักรวิ่งแถ่ดๆ มา มาแต่หัวด้วย ต้องเป็นของเจ้านี่แน่ๆ เลยลงไปดูเขาพ่วงรถค่ะ
ต่อหัวรถจักรเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางค่ะ
น่าจะเป็นหัวใหม่ด้วยมั้งเนี่ย หน้าตาดูใหม่ ดูร่วมสมัย ซึ่งเราคิดว่าหัวปกติน่าจะดูวินเทจกว่านี้
13:55 รถไฟออกตรงตามเวลา สักพักเจ้าหน้าที่ก็จะมาตรวจตั๋ว ตั๋วที่ตรวจแล้วก็จะโดนแง้บไปแบบนี้แหละค่ะ
แวะจอดรับส่งคนที่สถานีไหนสักที่
วิวข้างทาง
ถึงกาญจนบุรีแล้วค่ะ สถานีถัดไปก็เป็นสะพานแควใหญ่แล้ว ฝรั่งลงสถานีนี้กันเยอะทีเดียวค่ะ
สายน้ำตกน่ารักอบอุ่นดีค่ะ หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า "มิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นบนรถไฟ" สำหรับสายนี้มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ แหละค่ะ ชาวบ้านแถบนี้หลายคนขึ้นรถไฟอยู่บ่อยๆ พวกเขารู้จักกัน คุยเล่น แหย่กันเล่นได้ ทั้งผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่บนรถ
ประมาณสถานีท่าเรือน้อย มีคุณลุงคนนึงขึ้นมา น่าจะเป็นคนของรถไฟ ขึ้นมาก็พูดคุยทักทายกับกลุ่มชาวบ้านที่น่าจะคุ้นเคยกัน แล้วก็เดินไปคุยกับฝรั่ง ประมาณว่ามาจากไหนกัน เขาคุยกันเสียงดังพอที่เราจะได้ยิน เลยได้รู้ว่าฝรั่ง 2 กลุ่มที่อยู่ตู้เดียวกับเรามาจากยุโรปกันค่ะ แต่คนละประเทศกันนะ เรารู้สึกคุ้นหน้าคุณลุงอย่างประหลาด เขาอาจเป็นไกด์นำเที่ยวสายน้ำตกของการรถไฟรึเปล่า เพราะเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เราเคยซื้อทัวร์ของการรถไฟไปเที่ยวน้ำตกอยู่
ก็แอบคิดอยู่เหมือนกันนะ ว่าทำไมลุงไม่คุยกับหนูบ้าง บางทีอาจเป็นเพราะฝรั่งดูเข้าถึงง่ายกว่าคนเอเชียก็ได้ คนเอเชียเหมือนมีพื้นที่ส่วนตัวแล้วมีกำแพงล้อมรอบอะ ยิ่งเป็นคนเมืองกำแพงยิ่งสูง ทั้งที่จริงๆ แล้วข้างในอาจจะเฟรนด์ลี่ก็ได้ มันเหมือนเป็นกลไกในการใช้ชีวิตในสังคมเมืองของคนเอเชียอะ เราใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ เราไม่ก้าวก่ายกัน และไม่ต้องการให้ใครมาก้าวก่ายเรา
แต่พอเราจะลงตรงสถานีสะพานแควใหญ่ คุณลุงก็คุยกับเรานะคะ เขาก็ถามว่าบ้านอยู่แถวนี้หรอ เราก็บอกว่าเปล่าค่ะ มาเที่ยวเฉยๆ คุณลุงก็ว่ามาเที่ยวงานสะพานสินะ แล้วก็ชี้ให้ดูร้านค้าของงานที่ตั้งเป็นแนวยาวอยู่ริมทางรถไฟ (แต่ไม่ติดกับทางรถไฟนะ) คุณลุงลงที่สะพานกับเรา เราคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่เราจะขอตัวไปเข้าที่พักค่ะ
กลับมาถึงท่ารถไฟอีกครั้ง ตรงท่ารถไฟจะมีร้าน Blue Cup (เครือเดียวกับ S&P) อยู่ค่ะ ตอนนั้นประมาณเที่ยงๆ แต่เราไม่รู้สึกหิวเลย เลยแวะซื้อพาย 2 ชิ้นติดกระเป๋าไว้ เผื่อหิวเมื่อไหร่จะได้กิน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะมีแม่ค้าขึ้นมาขายอาหารบนรถไฟมั้ย และจะมีอะไรที่เราอยากกินรึเปล่า
เหลือเวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง เราเลยเดินเล่นสำรวจแถวๆ ท่ารถไฟรอเวลาไปก่อนค่ะ เจอพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน คิดว่าน่าสนใจดี เลยว่าจะเข้าไปดูซะหน่อย แต่ตัวหนังสือหน้าประตูบอกว่าปิดวันอังคาร และวันนี้เป็นวันอังคาร มันช่างบังเอิญอะไรอย่างงี้ (T-T)
โอเคค่ะ พิพิธภัณฑ์ปิด เข้าไม่ได้ เดินวนๆ อยู่ข้างนอกก็ได้ค่ะ วันนี้อากาศดี ลมดี ไม่มีแดด ใกล้ๆ กันมีหัวรถจักรไอน้ำสีดำแซมเขียวเข้มตั้งเด่นเป็นสง่า ตัดกับพื้นสีขาวและสนามหญ้าสีเขียว เป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ
บริเวณนี้เคยเป็นสถานีรถไฟธนบุรีมาก่อนค่ะ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ตรงสถานีธนบุรีปัจจุบัน และอาคารพิพิธภัณฑ์นั่นก็เคยเป็นอาคารสถานีรถไฟธนบุรีมาก่อนเช่นกันค่ะ
ป้ายที่สถานีธนบุรี นี่คงเป็นป้ายเก่าที่เขายังเก็บเอาไว้ และตัดสินใจไม่แก้ไขอะไรทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าสถานีนี้เดิมเคยเป็นสถานีบางกอกน้อย ก่อนที่เขาจะย้ายสถานีธนบุรีมาไว้ที่นี่แทนค่ะ
ส่วนนี้คือป้ายสถานีธนบุรีค่ะ
กลับมาที่แถวๆ ท่ารถไฟ
พลับพลาสยามินทราศิริราชานุสรณีย์
พลับพลานี้ก็ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันนี่แหละค่ะ
ส่วนนี่คือสวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาค่ะ
เป็นสวนสาธารณะริมน้ำ ช่วงแดดร่มลมตกนี่บรรยากาศดีมากค่ะ
นั่งเล่นอยู่แถวๆ ท่ารถไฟสักพัก พอใกล้ๆ บ่ายโมงก็เริ่มออกเดินไปสถานีรถไฟค่ะ ระหว่างทางเจอร้านภูฟ้า ตั้งอยู่ตรงข้ามตลาดหน้าสถานีรถไฟ ดูน่าสนใจดี ประกอบกับเราร้อน เราเหนื่อย เราอยากได้เครื่องดื่มหวานๆ เย็นๆ สดชื่นๆ มาเติมพลังให้ตัวเองสักหน่อย ป้ายเมนูหน้าร้านบอกว่ามีชา กาแฟ โกโก้ ซึ่งเราแพ้คาเฟอีน แต่เห็นว่ามีชาสมุนไพรด้วย เลยลองเข้าไปดูค่ะ
แล้วก็ได้น้ำตะไคร้กระป๋องเย็นๆ มาค่ะ กระป๋องละสิบกว่าบาท 16 หรือ 18 ก็ไม่แน่ใจ รสหวานอ่อนๆ กับกลิ่นตะไคร้ก็สดชื่นดีค่ะ (@⌒ー⌒@)
ร้านภูฟ้า เป็นร้านในโครงการของสมเด็จพระเทพฯ จัดตั้งขึ้นเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากโครงการส่งเสริมอาชีพให้ประชาชนที่มีฐานะยากจนในถิ่นทุรกันดารค่ะ
พอได้นั่งพักสบายๆ ดื่มอะไรเย็นๆ เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมาค่ะ บ่ายโมงกว่าแล้ว รีบไปสแตนบายที่สถานีดีกว่า เราจะตกรถไฟอีกไม่ได้ เพราะนี่เป็นขบวนสุดท้ายสำหรับวันนี้แล้ว
กลับมาที่สถานีรถไฟธนบุรีค่ะ
รถไฟมาจอดรอแล้ว (≧∇≦)
ระหว่างเดินมา เราสังเกตเห็นว่าตลาดที่หน้าสถานีวายหมดแล้ว พวกตลาดสดส่วนใหญ่ก็เปิดกันแค่ช่วงเช้าหละนะ ส่วนร้านขายของที่หน้าสถานีก็เพิ่งเปิด คิดว่าเขาคงเปิดแค่ช่วงที่มีรถไฟออก ซึ่งวันนึงก็มีอยู่แค่ไม่กี่ขบวน และก็ทิ้งช่วงห่างกันหลายชั่วโมงอยู่ค่ะ
รับตั๋วมาแล้ว เราจะไปลงที่สะพานแควใหญ่กันค่ะ
เดินไปดูหน้าขบวน เอ๊ะ! ไหงเป็นงี้ล่ะ หัวไปไหน
คิดว่าหัวคงจะตามมาทีหลังแหละค่ะ
รับกระเป๋าแล้วขึ้นไปดูบนรถกันดีกว่า
ที่นั่งบนรถขบวนนี้มี 3 แบบค่ะ ฟรีทั้งขบวน ไม่กำหนดที่นั่ง ชอบแบบไหนก็เลือกนั่งได้เลยค่ะ
แบบเก้าอี้ไม้สีเหลืองนั่งหันหน้าเข้าหากัน พื้นเป็นไม้ ดูวินเทจดีค่ะ เราชอบมาก แต่ไม่ชอบนั่ง มันเจ็บ ( ̄▽ ̄;)
ที่นั่งแบบยาวชิดริมหน้าต่าง หันหน้าเข้าหากันแบบบนรถไฟฟ้า เบาะนุ่มด้วย แต่ละล็อคนั่งได้ประมาณ 2 คน แต่ส่วนใหญ่เขาจะนั่งคนเดียวกันค่ะ เราชอบแบบนี้มาก และเหมือนจะไม่ค่อยมีด้วย ของดีมีน้อยสินะ (T-T)
แบบที่เราคุ้นเคย เบาะนุ่ม นั่งหันหน้าเข้าหากัน
ขบวนนี้มีอยู่ไม่กี่ตู้เองค่ะ ไม่น่าเกิน 6 ตู้ คนก็ไม่เต็มนะคะ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เหมือนจะเป็นชาวต่างชาติ เป็นพวกฝรั่งผิวขาว พวกคอเคเชียนน่ะค่ะ เพิ่งรู้ว่าเขาชอบรูทนี้กัน
หลังจากสำรวจภายในรถเสร็จก็หาที่นั่งค่ะ หลังจากนั่งได้ไม่นานก็เห็นหัวรถจักรวิ่งแถ่ดๆ มา มาแต่หัวด้วย ต้องเป็นของเจ้านี่แน่ๆ เลยลงไปดูเขาพ่วงรถค่ะ
ตอนพ่วงใช้เวลาแป๊บเดียวค่ะ ชนเข้าไปปึ้ก แล้วเหมือนสลักอะไรสักอย่างตรงขอพ่วงจะเกี่ยวกันเอง แล้วก็ลากไปข้างหน้าอีกนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จ
ต่อหัวรถจักรเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางค่ะ
น่าจะเป็นหัวใหม่ด้วยมั้งเนี่ย หน้าตาดูใหม่ ดูร่วมสมัย ซึ่งเราคิดว่าหัวปกติน่าจะดูวินเทจกว่านี้
13:55 รถไฟออกตรงตามเวลา สักพักเจ้าหน้าที่ก็จะมาตรวจตั๋ว ตั๋วที่ตรวจแล้วก็จะโดนแง้บไปแบบนี้แหละค่ะ
แวะจอดรับส่งคนที่สถานีไหนสักที่
วิวข้างทาง
ถึงกาญจนบุรีแล้วค่ะ สถานีถัดไปก็เป็นสะพานแควใหญ่แล้ว ฝรั่งลงสถานีนี้กันเยอะทีเดียวค่ะ
สายน้ำตกน่ารักอบอุ่นดีค่ะ หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า "มิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นบนรถไฟ" สำหรับสายนี้มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ แหละค่ะ ชาวบ้านแถบนี้หลายคนขึ้นรถไฟอยู่บ่อยๆ พวกเขารู้จักกัน คุยเล่น แหย่กันเล่นได้ ทั้งผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่บนรถ
ประมาณสถานีท่าเรือน้อย มีคุณลุงคนนึงขึ้นมา น่าจะเป็นคนของรถไฟ ขึ้นมาก็พูดคุยทักทายกับกลุ่มชาวบ้านที่น่าจะคุ้นเคยกัน แล้วก็เดินไปคุยกับฝรั่ง ประมาณว่ามาจากไหนกัน เขาคุยกันเสียงดังพอที่เราจะได้ยิน เลยได้รู้ว่าฝรั่ง 2 กลุ่มที่อยู่ตู้เดียวกับเรามาจากยุโรปกันค่ะ แต่คนละประเทศกันนะ เรารู้สึกคุ้นหน้าคุณลุงอย่างประหลาด เขาอาจเป็นไกด์นำเที่ยวสายน้ำตกของการรถไฟรึเปล่า เพราะเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เราเคยซื้อทัวร์ของการรถไฟไปเที่ยวน้ำตกอยู่
ก็แอบคิดอยู่เหมือนกันนะ ว่าทำไมลุงไม่คุยกับหนูบ้าง บางทีอาจเป็นเพราะฝรั่งดูเข้าถึงง่ายกว่าคนเอเชียก็ได้ คนเอเชียเหมือนมีพื้นที่ส่วนตัวแล้วมีกำแพงล้อมรอบอะ ยิ่งเป็นคนเมืองกำแพงยิ่งสูง ทั้งที่จริงๆ แล้วข้างในอาจจะเฟรนด์ลี่ก็ได้ มันเหมือนเป็นกลไกในการใช้ชีวิตในสังคมเมืองของคนเอเชียอะ เราใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ เราไม่ก้าวก่ายกัน และไม่ต้องการให้ใครมาก้าวก่ายเรา
แต่พอเราจะลงตรงสถานีสะพานแควใหญ่ คุณลุงก็คุยกับเรานะคะ เขาก็ถามว่าบ้านอยู่แถวนี้หรอ เราก็บอกว่าเปล่าค่ะ มาเที่ยวเฉยๆ คุณลุงก็ว่ามาเที่ยวงานสะพานสินะ แล้วก็ชี้ให้ดูร้านค้าของงานที่ตั้งเป็นแนวยาวอยู่ริมทางรถไฟ (แต่ไม่ติดกับทางรถไฟนะ) คุณลุงลงที่สะพานกับเรา เราคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่เราจะขอตัวไปเข้าที่พักค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น