วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

2 วัน 1 คืน ที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว #3 สะพานข้ามแม่น้ำแควและงานสะพาน

สะพานข้ามแม่น้ำแควและงานสะพาน ถือเป็นจุดประสงค์หลักของทริปนี้เลยค่ะ ไม่ว่ายังไงเราก็ชอบที่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เราพอจะรู้มาบ้างว่าที่นี่จะจัดงานสะพานขึ้นทุกปี และมีการแสดงแสงสีเสียงด้วย เลยอยากลองมาดูสักครั้ง พอหาข้อมูลดูก็พบว่างานนี้มักจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมค่ะ สำหรับปี 2559 นี้ จะอยู่ในช่วงวันที่ 2 - 14 ธ.ค. ค่ะ แต่การแสดงแสงสีเสียงจะมีถึงแค่วันที่ 11 เท่านั้นนะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเช็ควันดีๆ หละ




เรานั่งรถไฟรอบบ่ายจากธนบุรีมาถึงสถานีสะพานแควใหญ่ตอนเย็นๆ (ส่วนของการเดินทาง เราเขียนไว้ในพาร์ทแรกแล้วค่ะ คลิก) เข้าที่พัก เช็คอิน ล้างหน้าล้างตา พักผ่อนอีกนิดหน่อยก็เริ่มมืดแล้ว เลยออกไปเดินเที่ยวงานค่ะ (รีวิวโรงแรมที่ไปพัก เราเขียนไว้แล้วในพาร์ท 2 ค่ะ คลิก)



พอเริ่มมืด เขาก็เริ่มกั้นโซนขายบัตรแล้วค่ะ ตอนเรามาถึงเหมือนจะยังไม่มีนะ


เป็นงานกาชาดค่ะ ส่วนใหญ่เขาจะเรียกกันว่างานสะพาน ต้องซื้อบัตรเข้างาน มีค่าเข้าคนละ 20 บาท บัตรนี่เจ้าหน้าที่ตรงประตูเขาจะเก็บไปเลยค่ะ





ตอนเข้ามา รถไฟกำลังมาพอดีเลยค่ะ






น่าจะเป็นขบวนสุดท้ายของวันแล้วหละค่ะ





รถไฟผ่านไปแล้ว ทางเปิดแล้ว ขึ้นไปเดินเล่นบนสะพานกันค่ะ คนเยอะมากกกกกก ( ̄0 ̄;) ก็มีงานด้วยนี่นะ




ทีมงานกำลังจัดเตรียมสถานที่ เพราะสะพานนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของเวทีการแสดงด้วยค่ะ




ร้านอาหารลอยน้ำยามพลบค่ำ สวยเชียวค่ะ




การเทสไฟ และจอที่ใช้ในการแสดง




วงดนตรีไทยร่วมสมัย ที่มีการผสมผสานดนตรีไทยและดนตรีสากลเข้าด้วยกันอย่างลงตัว มาเล่นเปิดกล่องรับบริจาคอยู่ค่ะ ฝรั่งชอบมาก มี CD เพลงของวงขายด้วยนะ





เข้าไปเดินดูงานกันค่ะ ช่วงหัวค่ำคนโหรงเหรง เดินสบายดีจัง


ข้างในก็เหมือนงานแฟร์ท้องถิ่นทั่วไปค่ะ แต่เราก็ชอบอยู่ดีนะ




ต้นไม้ประดับไฟสีสันสดใส

ตอนที่คุณลุงบนรถไฟชี้ให้ดูพื้นที่จัดงานเลียบข้างทางรถไฟ มันดูไม่ใหญ่ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พอเดินจริงแล้วใหญ่มากค่ะ หรือเพราะไม่คุ้นด้วย หลงทางด้วย และเจ็บขาอยู่ด้วยก็ไม่รู้ ก็เดินวนๆ ไป แล้วหลุดออกมาได้ไงก็ไม่รู้ค่ะ ( ̄▽ ̄;)





ออกมาได้แล้วก็มาด้อมๆ มองๆ ตรงซุ้มขายตั๋วงานแสดงแสงสีเสียง



เราไปวันธรรมดา เลยมีการแสดงแค่รอบเดียวคือรอบ 20:00 ค่ะ บัตรก็มีราคาเดียวเช่นกัน คือราคา 300 บาท ถ้าไปวันหยุดจะมี 2 รอบ คือรอบ 19:00 กับ 20:30 ค่ะ และบัตรก็จะมี 2 ราคา คือ 300 กับ 500 บาท ตอนไปซื้อบัตร เขาจะมีผังที่นั่งอยู่ เราสามารถเลือกที่นั่งได้ค่ะ เลือกได้แล้วเขาก็จะเขียนรหัสที่นั่งลงในตั๋ว ตอนเข้าไปจะมีเจ้าหน้าที่พาไปที่นั่งค่ะ







ซื้อตั๋วเสร็จตอนทุ่มกว่าๆ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเศษ เลยตัดสินใจไปหามื้อเย็นกินก่อนค่ะ แล้วก็มาลงที่ร้าน 30 บาท ที่อยู่ใกล้ๆ ทางเข้า เป็นกลุ่มร้านอาหาร มีพวกขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาหมู หอยทอด ฯลฯ ทุกเมนู 30 บาทเท่ากันหมด ดีนะไม่คิดค่าน้ำเปล่า 30 บาทด้วย (-*-) ตอนคิดเงินเขาบอกน้ำกับน้ำแข็ง 20 บาท เป็นน้ำแข็งแก้วนึงกับน้ำขวด 600 มล. 1 ขวด ดีนะเป็นขวดพลาสติก กินเหลือก็ใส่กระเป๋ากลับไปด้วยได้ ตั้ง 20 บาทแน่ะ ไม่ปล่อยทิ้งหรอก


เราสั่งบะหมี่แห้งเป็ดมาค่ะ อร่อยดีนะ แต่เค็มไปหน่อย ปริมาณก็มาตรฐานก๋วยเตี๋ยวเป็ดแหละค่ะ ปริมาณเป็ดถือว่าสมน้ำสมเนื้อ ไม่ได้มาเป็นวิญญาณอย่างบางเจ้าค่ะ ตะเกียบน่ากลัวมาก แต่ก็ใช้ๆ ไปเหอะ เกิดเป็นคนไทยท้องไส้ต้องแกร่งค่ะ แต่เราก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรจากการกินอาหารร้านนี้นะคะ







กินเสร็จก่อนเวลานิดหน่อย ก็เข้างานเลยแล้วกันค่ะ บัตรที่ตรวจแล้วก็จะถูกเจาะไป และเพราะยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยในหลวง ร.9 เขาเลยแจกเทียนมาให้คนละเล่มเพื่อจุดถวายความอาลัยหลังการแสดงจบค่ะ 






การแสดงเริ่มแล้วค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติของสะพานข้ามแม่น้ำแคว เขาไม่ได้ห้ามถ่ายรูป เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ละเมิดกฎใดๆ ทั้งสิ้น มีกฎแค่ห้ามใช้แฟลช ซึ่งปกติเราไม่ใช้อยู่แล้ว จริงๆ เขามีกิจกรรมให้ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ โพสท์ลง Facebook หรือ Instagram ด้วยค่ะ หลังจบงานก็เอาหลักฐานการโพสท์ไปให้เขาดู แล้วจะได้พวงกุญแจที่ระลึกมาด้วย แต่เราไม่ได้เล่นด้วยหรอกค่ะ ตอนนั้นไม่มีอารมณ์เลือกรูป แต่งรูป โพสท์รูปใดๆ ทั้งสิ้น


แต่กฎอาจเปลี่ยนแปลงได้ ครั้งหน้าเขาอาจไม่ให้ถ่ายรูปขณะชมการแสดงก็ได้ ก็เช็คกฎดีๆ นะคะ เขาน่าจะบอกไว้หน้าทางเข้าและประกาศก่อนเริ่มการแสดงอยู่แล้ว ก็คอยสังเกต คอยฟังไว้ด้วยค่ะ




ในการแสดงมีรถจักรไอน้ำด้วยค่ะ เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ วิ่งไปมาอย่างงี้เป็นครั้งแรก น้ำตาจะไหล (T^T) ช่วงนี้บ้ารถไฟค่ะ จริงๆ รฟท. เขามีทัวร์รถจักรไอน้ำเฉพาะกิจในวันสำคัญอยู่นะคะ มีแค่ปีละ 4 วันเท่านั้น คือวันที่ 26 มี.ค. วันสถาปนารถไฟไทย, 12 ส.ค. วันแม่, 23 ต.ค. วันปิยะมหาราช, และวันที่ 5 ธ.ค. ที่เป็นวันพ่อค่ะ (รายละเอียดทัวร์รถจักรไอน้ำ)



หลังการแสดงจบก็จุดเทียนถวายความอาลัยแด่ในหลวง ร.9 กันค่ะ









ออกจากงานแสงสีเสียงก็กลับเข้าไปในโซนร้านค้าอีกรอบค่ะ เราไม่ได้ออกจากงานนะคะ เพราะงั้นเลยไม่ต้องตีตั๋วใหม่ กลับเข้าไปคราวนี้ประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ คนเยอะขึ้นมากเลยค่ะ เราคาใจขนมแปลกๆ อย่างนึงอยู่ค่ะ เลยกะว่าดูโชว์เสร็จแล้วจะแวะซื้อขนมนี่กลับไปกินที่ห้อง


นี่คือขนมปันปีค่ะ คนขายบอกว่าเป็นขนมพื้นเมืองโบราณของทางใต้ เขามาจากสงขลา และขนมนี่ก็ดูเหมือนจะไม่แพร่หลายเป็นที่รู้จักนัก

ไส้ขนมเป็นมะพร้าวอ่อน เคี่ยวกับน้ำตาลให้มีรสหวานอ่อนๆ ม้วนห่อด้วยแป้งรสจืดเนื้อนุ่มหนุบหนับ อร่อยมากค่ะ กล่องละ 50 บาท มี 3 ชิ้น ชิ้นนึงตัดได้ 3 คำ กินหมดแล้วอิ่มมากค่ะ





~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~





เช้าวันถัดมา เราตื่นประมาณ 7 โมงค่ะ กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ 8 โมง เวลาอาหารเช้าของโรงแรมคือ 7 - 10 โมง เราเลยออกไปเดินเล่นเรียกน้ำย่อยที่สะพานก่อนค่ะ


สะพานยามเช้า





ร้านอาหารลอยน้ำเวอร์ชั่นกลางวัน




ที่นั่งชมการแสดงและเวทีการแสดงเมื่อคืนค่ะ




เอามาให้ดูให้รู้ว่าไม่ควรทำนะคะ กรุณาช่วยกันรักษาข้าวของสาธารณะด้วยค่ะ



ตอนแรกว่าจะเดินไปให้สุดสะพาน แต่พอมาถึงกลางสะพานก็ขาสั่นแล้วค่ะ เหมือนกลัวตก ทั้งๆ ที่มันก็ดูปลอดภัยดี และเห็นว่าใกล้ 9 โมงแล้ว เลยตัดสินใจกลับไปกินมื้อเช้าเรียกความกล้าที่โรงแรมก่อนค่ะ



กลับมาอีกครั้งหลังกินข้าวเสร็จ เราต้องข้ามให้ได้ ไม่ข้ามมันรู้สึกไม่คอมพลีท รอบนี้ก็ยังกลัวอยู่เหมือนเดิมค่ะ แต่ก็กล้ามากขึ้น




ในที่สุดก็ทำใจกล้าเดินมาสุดปลายสะพานอีกฝั่งจนได้ค่ะ




ศาลเจ้าพ่อง
จริงๆ มันก็คือศาลานั่งพักแหละค่ะ หรืออาจจะเป็นป้อมอะไรสักอย่างที่เลิกใช้ไปแล้ว เห็นเล็กๆ เลยดูเหมือนศาล บวกกับลวดลายศิลปะอันงดงาม(?)ตรงหน้าจั่ว เราเลยเรียกว่าศาลเจ้าพ่องซะเลย ( ̄▽ ̄)




เศษซากโบราณสถาน (ใช่เรอะ?! -*-)






เส้นทางสู่สถานีต่อไป สถานีอะไรก็ไม่รู้ เส้นนี้จะไปสุดที่สถานีน้ำตก ตรงน้ำตกไทรโยคน้อยค่ะ





Mission completed แล้วก็กลับค่ะ




คุณลุงสีไวโอลินบนสะพานข้างทางรถไฟ





พูดถึงรถไฟ รถไฟก็มาพอดีค่ะ





รู้สึกสงสารคนขับรถไฟยังไงก็ไม่รู้ค่ะ เพราะสะพานนี่เปิดให้คนขึ้นมาเที่ยว โดยจะมีจุดหลบรถเป็นระยะ แต่คนไม่ค่อยหลบกันค่ะ อยากได้ภาพสวยๆ จนต้องไปนั่งดักรอถ่ายตรงรางรถไฟ นอกจากต้องขับโดยระวังคนเป็นพิเศษแล้ว ยังต้องมาปวดหัวกับคนประมาทพวกนี้อีก แล้วถ้าเกิดพลาด เกิดอุบัติเหตุรถชนรถทับอะไรขึ้นมา เดี๋ยวก็หาว่าเป็นความผิดคนขับอีก




ส่วนนี่คือลานจอดรถค่ะ อยู่ในซอยตรงตีนสะพาน ซอยเดียวกับโรงแรมเรา กว้างใหญ่เอาเรื่องเลยหละค่ะ คันที่จอดในสุดต้องเดินไกลใช้ได้เลย






สะพานข้ามแม่น้ำแควยังคงเป็นสถานที่อันทรงเสน่ห์เสมอ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เหมือนเป็นที่ที่ทุกคนต้องมา หากได้มาเยือนกาญจนบุรี ตัวสะพานไม่ได้มีความสวยงามอะไรเป็นพิเศษ แต่เวลาได้เห็นรถไฟวิ่งข้ามสะพานมันก็ว้าวดี สิ่งที่พิเศษคงเป็นประวัติอันน่าเศร้าของสะพาน ที่ย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงความโหดร้ายของสงคราม ใกล้ๆ สะพานมีพิพิธภัณฑ์สงครามอยู่ด้วย และเราก็เข้าไปดูมาด้วย เดี๋ยวจะเขียนถึงในพาร์ทถัดไปนะคะ









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น