หลังจากเช็คเอาท์ออกจากที่พักตอนเที่ยง รถไฟกลับเข้ากรุงเทพจะมาตอนบ่ายสอง ยังเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงสำหรับการเที่ยว เราเลยฝากกระเป๋าไว้กับทางที่พัก แล้วเข้าไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ก่อนค่ะ
ป้ายหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงคราม ขอย้ำว่าป้ายนี้อยู่ข้างในนะคะ
มีค่าเข้าคนละ 40 บาทนะคะ เด็ก 20 บาท ราคาเท่ากันทั้งคนไทยและต่างชาติ ห้องขายตั๋วอยู่ตรงที่ลูกศรชี้ไปนั่นแหละค่ะ
แอบรู้สึกแปลกๆ กับคำว่าบริจาค แต่ก็ช่างเห๊อะ ( ̄▽ ̄)
เข้ามาก็เจอพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาติไทยเกี่ยวกับสงครามไทย - พม่าค่ะ แต่เราไม่ได้เข้าไปดูหรอกค่ะ แฮร่~ ( ̄▽ ̄;)ゞ
เดินเลยเข้าไปอีกหน่อย เจอป้ายเหลืองๆ บอกแพทเทิร์นในการเดินดู ป้ายบอกให้ลงไปดูข้างล่างก่อน นี่ก็งง เอ๊ะ? ล่างไหน มีล่างกว่านี้อีกหรอ เราก็ไม่ได้ขึ้นมาจากไหนนี่ เดินมาตามพื้นราบปกติเลย ระหว่างที่ยืนงงอยู่ ก็มีคนที่น่าจะประจำอยู่ที่นี่เดินผ่านมา เขาบอกให้ลงไปข้างล่างก่อน แล้วค่อยวนขึ้นมาดูข้างบน พร้อมชี้ทางลงให้ค่ะ
เราก็เดินไปตามที่เขาบอก
นี่คือทางลงค่ะ
แอบน่ากลัวเบาๆ (~_~;)
ลงมาถึงข้างล่าง มีเสาบอกทางไปห้องน้ำและพิพิธภัณฑ์สงคราม
ถ้ำมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตอนแรกนึกว่าคุุกใต้ดินโบราณ มีเทวรูปข้างหน้าด้วย หลอนไปอี๊กกกกกก (◎-◎;)
สามล้อเก่า ดูผุๆ พังๆ นี่พิพิธภัณฑ์หรือโรงเก็บของเก่าเนี่ย ( ̄▽ ̄;)
(แต่จริงๆ แล้ว พิพิธภัณฑ์ก็คือโรงเก็บของเก่ารูปแบบหนึ่งแหละนะ)
(แต่จริงๆ แล้ว พิพิธภัณฑ์ก็คือโรงเก็บของเก่ารูปแบบหนึ่งแหละนะ)
บ้านหิน ที่พักร้อนนักท่องเที่ยว ใช่ค่ะ ข้างบนร้อนมาก (T∇T)
บริเวณนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์สุภาษิตและคำพังเพยไทยค่ะ
จงใจถ่ายมาแบบนี้ และไม่กลับรูปด้วย เราเป็นคนอย่างงี้แหละ ( ̄▽ ̄)
บริเวณนี้จะมีสำนวน สุภาษิต คำพังเพย คำสอน คำกลอน เรื่องเล่าที่ให้ข้อคิด คติสอนใจต่างๆ เขียนไว้ตามเสา ผนัง เพดาน เต็มไปหมดเลยค่ะ อย่างบนเพดานนี่ก็จะมีภาพประกอบด้วย แต่เห็นตัวหนังสือไม่ค่อยชัดเลยแฮะ
ถัดจากโซนพิพิธภัณฑ์สุภาษิตและคำพังเพย ก็เป็นโซนพิพิธภัณฑ์สงครามโลก ครั้งที่ 2 ค่ะ เริ่มจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว แลนด์มาร์คอันโด่งดังของเรา
เมื่อทหารญี่ปุ่นต้องการเดินทางผ่านไทยไปตีอังกฤษที่พม่า ซึ่งต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ด้วย จึงต้องสร้างสะพานทางรถไฟขึ้นมา โดยเกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรชาวอังกฤษ อเมริกา ฮอลันดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และกรรมกรชาวไทย จีน ญวณ พม่า ชวา มลายู อินเดีย มาสร้างสะพาน ด้วยกำหนดการก่อสร้างอันเร่งรีบ สภาพอากาศที่เลวร้าย ความโหดร้ายของสงคราม การขาดแคลนอาหาร และโรคระบาด ทำให้แรงงานและเชลยศึกเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากค่ะ
เมื่อทหารญี่ปุ่นต้องการเดินทางผ่านไทยไปตีอังกฤษที่พม่า ซึ่งต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ด้วย จึงต้องสร้างสะพานทางรถไฟขึ้นมา โดยเกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรชาวอังกฤษ อเมริกา ฮอลันดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และกรรมกรชาวไทย จีน ญวณ พม่า ชวา มลายู อินเดีย มาสร้างสะพาน ด้วยกำหนดการก่อสร้างอันเร่งรีบ สภาพอากาศที่เลวร้าย ความโหดร้ายของสงคราม การขาดแคลนอาหาร และโรคระบาด ทำให้แรงงานและเชลยศึกเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากค่ะ
สะพานข้ามแม่น้ำแควมี 2 สะพาน คือสะพานเหล็กที่เราคุ้นเคยกันดี และสะพานไม้ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์นี่แหละค่ะ
สะพานไม้แห่งแรกของแม่น้ำแคว สร้างโดยเชลยศึกที่ทหารญี่ปุ่นเกณฑ์มา และรถโยกที่ทหารญี่ปุ่นเคยใช้ในช่วงสงครามค่ะ
จุดชมวิวและนั่งพัก เห็นวิวสะพานข้ามแม่น้ำแควด้วย ที่แขวนๆ ตั้งๆ ประดับอยู่นี่น่าจะเป็นระเบิด...รึเปล่านะ? ( ̄∇ ̄;)
ตู้รถไฟที่กองทัพญี่ปุ่นใช้เป็นที่คุมขังเชลยศึก
บรรยากาศตรงนี้แอบหลอนเบาๆ ค่ะ เมื่อเราเริ่มจมดิ่งลงสู่ความรู้สึกหดหู่ สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด และความสูญเสีย ทุกอย่างมันเงียบสงัดไปหมด ส่วนหนึ่งคงเพราะไม่ค่อยมีคนลงมาข้างล่างด้วย มันเลยเงียบ พอลมพัด เราเลยได้ยินเสียงใบไผ่เสียดสีกันอย่างชัดเจน พร้อมกับใบไผ่บางส่วนที่ร่วงลงมาและปลิวไปตามลม ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เราคงเพลิดเพลินไปกับลมเย็นๆ และเสียงดนตรีจากธรรมชาตินี้ แต่พอเป็นที่นี่ มันรู้สึกขนลุกยังไงก็ไม่รู้ค่ะ
วนเข้ามาในห้องแสดงประติมากรรมและคำบรรยายถึงการทิ้งระเบิดที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานข้ามแม่น้ำแควที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เคยถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดจนสะพานขาดมาแล้วค่ะ และได้รับการบูรณะซ่อมแซมใหม่จนเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เห็นเขาว่าราวสะพานของเดิมจะเป็นแบบโค้งๆ ค่ะ ส่วนที่เป็นเหลี่ยมๆ คือส่วนที่สร้างขึ้นใหม่หลังจากโดนระเบิด สะพานนี้จึงเป็นเหมือนอนุสรณ์จากสงคราม เป็นเครื่องเตือนใจให้คนรุ่นหลังตระหนักถึงความโหดร้ายและผลกระทบจากสงครามค่ะ
กลับขึ้นมาข้างบน (ระดับพื้นปกติ) ตรงนี้ก็เป็นจุดชมวิวเช่นกันค่ะ มีเครื่องบินกับเฮลิคอปเตอร์ด้วย
และกล้วยตาก ( ̄∇ ̄)
ใกล้ๆ จุดชมวิว มีพระธาตุแควใหญ่ประดิษฐานอยู่ด้วยค่ะ ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรอย่างงี้ที่นี่นะเนี่ย (*๐*)
หมดเวลาแล้วก็ย้อนกลับมาข้างหน้าค่ะ เจอป้ายนี้เลยถ่ายเก็บไว้ กลับมาซูมดูทีหลัง เลยรู้ว่ามันเป็นป้ายแผนผังพิพิธภัณฑ์ และเราพลาดอะไรไปเยอะมากค่ะ นิสัยไม่ดูแผนผังสถานที่ก่อนเที่ยวนี่แก้ไม่หายจริงๆ ค่ะ (;_;)
หัวรถจักรไอน้ำหน้าพิพิธภัณฑ์ค่ะ เป็นรถไฟที่ทหารญี่ปุ่นใช้ลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังพม่าและอินเดียค่ะ ขึ้นไปดูข้างในรถได้ด้วยนะคะ
พิพิธภัณฑ์อาจเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อสำหรับใครหลายๆ คน แต่พอเดินดูไปเรื่อยๆ มันก็เพลินดีนะคะ ได้ความรู้ด้วย
เราเป็นอีกคนที่มองพิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งน่าเบื่อ แต่พอมีโอกาส ก็อยากจะเข้าไปดูให้ได้ทุกครั้ง และเพราะคิดว่ามันน่าเบื่อ เลยวางแผนโดยให้เวลากับพิพิธภัณฑ์น้อยๆ แต่พอได้เข้าไป ก็ขลุกอยู่ในนั้นได้นานกว่าที่คิด แถมยังไม่ทันดูครบก็หมดเวลาเสียก่อนด้วย ต่อไปคงต้องให้เวลากับพิพิธภัณฑ์ให้มากกว่านี้แล้วหละค่ะ
เราว่าพิพิธภัณฑ์เปรียบเสมือนสมุดบันทึกขนาดใหญ่ ที่บันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้ และเพราะมีภาพ รูปจำลอง หรือของจริงให้ดูด้วย จึงทำให้เรื่องราวเหล่านั้นน่าสนใจและเข้าถึงง่ายขึ้น นอกจากนี้แล้ว พิพิธภัณฑ์ยังทำให้เราเข้าใจพื้นที่แห่งนั้นมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมและนิสัยใจคอของคนในพื้นที่
สำหรับที่พิพิธภัณฑ์สงครามนี้ ยังมีอีกหลายส่วนที่เรายังไม่ได้เข้าไปดูเลย สงสัยคงต้องจัดทริปแก้ตัวอีกรอบแล้วหละค่ะ ( ̄∇ ̄;)ゞ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น