วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 3.2 : K's House Takayama




ที่ทาคายาม่านี้ เราพักกันที่ K's House Takayama ค่ะ ห้องสำหรับ 2 คน 1 คืน ราคา 7,500 เยน เป็นเตียงแบบ 2 ชั้น แต่ดูดี ดูแข็งแรง ดูมั่นคงกว่าที่นาโกย่า และมีห้องน้ำในตัวด้วยค่ะ




หน้าห้อง





เข้ามาก็เจอห้องน้ำ




ชักโครกในห้องพักที่นี่เป็นแบบธรรมดาค่ะ ไม่ใช่แบบ bidet (ชำระอัตโนมัติ) และแน่นอน ที่ญี่ปุ่นไม่มีการใช้สายฉีดชำระแบบบ้านเราค่ะ ถ้าจะใช้แบบบิเดต์ก็ลงไปเข้าที่ชั้น 1 แทนละกันนะคะ ( ̄▽ ̄;)




สบู่เหลว ครีมนวดผม และแชมพู ก๊อกน้ำที่นี่คือ All in One จริงๆ ค่ะ เป็นทั้งก๊อกอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ และฝักบัวเลย




อ่างอาบน้ำ ของเราเหมือนจะมีปัญหาค่ะ น่าจะเป็นตอนที่ระดับน้ำสูงกว่าจุดน้ำล้น ซึ่งปกติมันก็จะปล่อยน้ำออกไปตามช่องที่ทำไว้ แต่อันนี้มันรั่วรึไงก็ไม่รู้ ลุกออกมาจากอ่างเจอน้ำนองเต็มพื้นไปหมดเลย
Σ(゚Д゚;)







ถึงเขาจะบอกว่าที่นี่ไม่มีผ้าเช็ดตัว สบู่ แชมพู หรืออะไรให้เลย ต้องซื้อหรือเช่าจากแผนกต้อนรับ แต่ห้องที่เราอยู่ก็มีให้ครบทุกอย่างนะคะ





ชั้นวางของและถังขยะ




มีทิชชู่ ไดร์เป่าผม กระดาษโน้ตและปากกาให้




เตียงสองชั้นที่นี่ดีค่ะ บันไดมั่นคงกว่าที่นาโกย่า ปีนขึ้นลงสบายๆ ไม่ต้องกลัวตก






ข้อเสียของที่นี่คือต้องปูเตียงเองค่ะ ตอนเห็นรีวิวคนอื่นบอกว่าต้องปูเตียงเอง และเขาปูไม่เป็น ก็แอบคิดอยู่นะ ว่าจะคุณหนูอะไรขนาดนั้น แค่ปูเตียงยังทำไม่เป็น แต่พอมาเจอเข้ากับตัวก็นั่งโง่เหมือนกันค่ะ ไม่รู้ต้องใช้ผ้าผืนไหนห่ออะไร แล้วอันนี้วางตรงไหน แต่ก็ไม่ยากนักหรอกค่ะ คือมันจะมีฟูก กับแผ่นรองฟูก(มั้ง?)อีกอันนึง มีผ้าปูมาให้ 2 ผืน มาเป็นผ้าเพียวๆเลยนะคะ ไม่มียางยืดรัดมุมอะไร เราห่อผ้าให้แผ่นรองฟูกก่อน แล้วปูบนฟูก จากนั้นก็ห่อฟูกกับแผ่นรองฟูกรวมกันอีกที ไม่รู้ทำถูกวิธีรึเปล่า แต่มันก็ดูเรียบร้อยและนอนได้สบายอยู่นะ ( ̄▽ ̄)





เตียงชั้นบนมีโคมไฟเล็กๆ กับปลั๊กไฟให้ เราเพิ่งรู้ว่ามีปลั๊กไฟหลังจากชาร์จแบตมือถือเต็มแล้ว ตอนนั้นเราชาร์จไว้ข้างล่าง ชาร์จทิ้งไว้ตอนนอน ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ด้วย นึกสภาพคนปีนลงมาจากเตียงชั้นบนแบบเบลอๆ ในตอนเช้า ที่ยังนอนไม่เต็มอิ่ม เพื่อปิดนาฬิกาปลุกที่อยู่ข้างล่างดูสิคะ มันเสี่ยงใช้ได้เลยนะ ( ̄▽ ̄;)




สวิตช์...ไฟ...มั้ง จำไม่ได้แล้วค่ะ แต่รีโมทเป็นของไฟแน่ๆ ที่จำได้เพราะมันแปลกดี ปรับระดับแสงได้ด้วย ตั้งเวลาปิดไฟก็ได้ โดยสามารถเลือกได้ระหว่างปิดภายใน 30 นาที กับ 60 นาที ส่วนที่หมุนๆ นั่นเป็นที่ปรับแอร์ (สำหรับฤดูร้อน) หรือฮีทเตอร์ (สำหรับฤดูหนาว) ค่ะ เริ่มจากปิด > เบา > กลางๆ > แรง ส่วนข้างๆ นั่นเป็นป้ายบอกวิธีใช้ เพราะที่สวิตช์เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดค่ะ






ข้อเสียอีกอย่างของที่นี่คือฮีทเตอร์ค่ะ คือเขาจะติดฮีทเตอร์ไว้บนเพดาน ตำแหน่งฮีทเตอร์คือจ่อเตียงเลย คนที่นอนข้างบนนี่แทบสุกค่ะ นึกสภาพคนง่วงๆ เบลอๆ ปีนลงจากเตียงชั้นบนกลางดึกเพื่อไปปิดฮีทเตอร์ และคลานไปนอนหน้าห้องที่ฮีทเตอร์ไปไม่ค่อยถึง เพื่อให้ตัวเย็นลงพอที่จะกลับขึ้นไปนอนบนเตียงได้อีกครั้งดูสิคะ แต่หลังจากนั้นก็หลับสบายจนถึงเช้าค่ะ (ไม่ได้เปิดฮีทเตอร์อีกเลยจนถึงเช้า)


เช้ามาเพื่อนที่นอนเตียงล่างก็บอกว่าเมื่อคืนร้อนนะ ยังคิดอยู่เลยว่าเรานอนไปได้ไง เลยสบายใจขึ้นมาหน่อย เพราะเราก็ชั่งใจอยู่นานเหมือนกันค่ะ ก่อนจะตัดสินใจปิดฮีทเตอร์ เพราะกลัวเพื่อนจะหนาว






มาดูพื้นที่ส่วนกลางกันมั่งค่ะ





หน้าทางจะเข้ามีตู้เก็บรองเท้าให้ค่ะ เพราะต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าโรงแรม เข้ามาก็จะมีรองเท้าแตะให้ โดยจะใส่ไว้ในกล่องหน้าประตูค่ะ บรรยากาศด้านในดูอบอุ่นด้วยไฟสีเหลืองนวลและการเลือกใช้สีเอิร์ธโทนที่ดูอบอุ่นในการตกแต่ง พื้นเป็นพรม มีโซฟาและบีนแบ็กนุ่มๆ ส่วนฮีทเตอร์ก็ทำงานได้ดีมากค่ะ ดูเป็นที่ที่เหมาะแก่การอบอุ่นร่างกายหลังจากไปลุยอากาศหนาวข้างนอกมาจริงๆ (@⌒ー⌒@)b




มีคอมพิวเตอร์พร้อมอินเตอร์เน็ตให้ใช้ฟรี


 

มีห้องทานอาหารและห้องครัวส่วนกลางให้ด้วย

ในห้องพักไม่มีตู้เย็นนะคะ แต่สามารถใช้ตู้เย็นส่วนกลางได้ ซื้ออะไรมาใส่ก็เขียนโน้ตแปะไว้ให้รู้ว่าเป็นของเรา ของในตู้เย็นที่กินได้ฟรีคือน้ำชาค่ะ อาจจะมีอย่างอื่นด้วยแต่จำไม่ได้แล้ว ;P


ภาชนะทั้งหลาย ใช้เสร็จแล้ว ให้ล้าง เช็ด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย ที่นี่มีเครื่องซักผ้าพร้อมผงซักฟอกให้ด้วยนะคะ ใช้ฟรีด้วย





จะเห็นได้ว่าตามโรงแรมในญี่ปุ่นมักไม่ค่อยมีน้ำให้ หรือถ้ามีก็ขวดนิดนึง น้ำเปล่าบรรจุขวดก็ขายกันแพงเหลือเกิน เพราะคนญี่ปุ่นเขากินน้ำก๊อกกันค่ะ คนไทยจะค่อนข้างรังเกียจน้ำก๊อก เพราะน้ำก๊อกที่ไทยมันกินไม่ได้ (ต่อให้บอกว่ากินได้ก็คงไม่มีใครกล้ากิน) แต่ที่ญี่ปุ่นนี่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ในเมื่อเขากินกันได้ เราก็ต้องกินได้ เพราะจะให้ซื้อน้ำขวดกินก็ไม่ไหวเหมือนกัน ( ̄▽ ̄;)

 



พนักงานที่นี่ดีมากค่ะ เป็นมิตร ดูแลดี พูดอังกฤษคล่อง สื่อสารกันได้สบายมาก แม้สกิลภาษาเราจะย่ำแย่มากก็ตาม พวกเขาก็ยังยินดีและเต็มใจช่วยเหลือเราเสมอค่ะ ทั้งช่วยจองตั๋วรถ ช่วยจัดการเรื่องส่งสัมภาระไปโตเกียว ในที่สุดเราก็ส่งกระเป๋าใบใหญ่ของเพื่อนไปโตเกียวได้สำเร็จ ค่าส่งกระเป๋าของเราอยู่ที่ประมาณ 1,400 เยนค่ะ ราคาขึ้นอยู่กับน้ำหนัก หรือขนาด หรือทั้งสองอย่าง ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ( ̄▽ ̄;)








ที่ทาคายาม่ามี ตลาดเช้า ด้วยนะคะ อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ สามารถเดินไปได้ มีของกินน่าสนใจหลายอย่างเหมือนกัน เราเขียนไว้ในบล็อกถัดไปแล้วค่ะ (^_^)












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น