วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Japan 1st Time SP2 : ประกันการเดินทาง + แลกเงิน

ประกันการเดินทาง + แลกเงิน






จริงๆ ภาค SP ก็คือ Special สำหรับเรามันเหมือนเป็นสิ่งที่เพิ่งนึกขึ้นได้หลังจากปิดเรื่องไปแล้ว เลยมาเขียนเพิ่มเป็นภาคพิเศษ สำหรับ 2 เรื่องนี้คิดว่าคงเขียนแต่ละเรื่องไม่เยอะนัก เลยเอามารวมกันดีกว่า





ประกันการเดินทาง

ปกติเวลาเดินทางในประเทศเราจะไม่ซื้อประกันการเดินทาง แต่นี่เป็นการเดินทางออกนอกประเทศ ด้วยเรทค่าใช้จ่ายต่างๆของต่างประเทศที่ต่างจากบ้านเราและมักจะแพงกว่า เลยคิดว่าปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เผื่อไปเจ็บป่วยที่นั่น หรือที่เรากังวลเป็นพิเศษคือเครื่องดีเลย์ยาวๆและต้องเสียค่าโรงแรมเพิ่มอีกคืน ไหนจะค่าอาหารและค่าเดินทางไปโรงแรมอีก

เนื่องจากเราบินกับการบินไทย เลยเลือกซื้อประกันการเดินทางจากเว็บของการบินไทยด้วยเลย ซึ่งจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สำนัก ได้แก่
1) Allianz
2) กรุงเทพประกันภัย
3) เมืองไทยประกันภัย

Link สำหรับเข้าสู่หน้าประกันการเดินทางของการบินไทย
http://www.thaiairways.com/th_TH/book_my_flights/travel_extras/travel_insurance.page?

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Japan 1st Time SP1 : การแต่งกายที่ญี่ปุ่นช่วงเดือนกุมภาพันธ์

อีกเรื่องที่ชวนประสาทกินคือ แต่งตัวยังไง? จะหนาวแค่ไหน? ควรใส่อะไรมั่ง? สำหรับคนที่เพิ่งไปเมืองหนาวครั้งแรกมันจินตนาการไม่ออกจริงๆ นะคะ ว่ามันหนาวยังไง หนาวแบบไหน หลังจากหาข้อมูลจากหลายๆแหล่ง นี่คือสิ่งที่เราใส่ค่ะ

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 7 : การบินไทย ฮาเนดะ - สุวรรณภูมิ

และแล้วก็ถึงเวลาบอกลาญี่ปุ่น เราเลือกออกทางสนามบินฮาเนดะ เวลาเครื่องออกคือ 10:45


ออกเดินทางด้วย JR Keihin-Tohoku ไปลงที่ Hamamatsuchou ค่ารถ 220 เยน แล้วต่อรถไฟ Tokyo Monorail ไปลงที่ฮาเนดะ สำหรับการบินไทยจะอยู่ที่ Terminal 1 ค่ารถส่วนนี้ 490 เยน


สำหรับโมโนเรลไปสนามบินนี้จะมีทั้งรถด่วน รถเร็ว และรถธรรมดา ราคาเท่ากันหมด แต่รถที่เร็วกว่าจะไม่จอดบางสถานี แล้วเราดันเจอแจ็คพอตได้รถธรรมดา ก็หวานเย็นกันไป เฮ~ T-T


ถึงฮาเนดะก็ไปเช็คอินให้เรียบร้อย ผ่าน ตม. ชิลด์ๆ ขาออกจากประเทศเขาจะไม่ค่อยมีปัญหาหรอกค่ะ เพราะเขาต้องอยากให้เราออกอยู่แล้ว เสร็จพิธีการก็ไปเดินเล่นซะหน่อย ร้านค้าที่ฮาเนดะจะไม่เยอะเท่าไหร่ หรือโซนที่เราผ่านไปมันไม่เยอะก็ไม่รู้ ก็ช็อปปิ้งมานิดๆหน่อยๆ ขี้เกียจขนเยอะ



วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 6 : Naka-Meguro - Odaiba

คำเตือน : ติ่ง

ใช่ค่ะ นากะเมกุโระอีกรอบค่ะ คุณอ่านไม่ผิดหรอก เนื่องจากเมื่อวานมิชชั่นไม่คอมพลีท เลยต้องไปเก็บอีกรอบ สำหรับวันที่ 6 นี้อากาศแย่มาก ฝนตกทั้งวัน แต่ฝนบ้านเขาจะตกปรอยๆเป็นละออง ไม่ได้ตกหนักฟ้าถล่มดินทลายแบบบ้านเรา แต่มันน่ารำคาญตรงที่มันตกทั้งวันทั้งคืนนี่แหละค่ะ

และอย่าลืมว่าเราไปกันช่วงฤดูหนาว พยากรณ์อากาศวันนี้บอกว่าจะมีทั้งฝนและหิมะ และแน่นอนว่าหิมะตกลงมาเจอฝน มันจะกลายเป็นฝน มันไม่มีทางพาฝนให้กลายเป็นหิมะไปด้วยกันหรอก เรียกได้ว่าเป็นวันที่แย่มาก ฝนตกปรอยๆทั้งวันทั้งคืนจนเที่ยวไม่สนุก แล้วเรารู้สึกว่าเมืองที่ปกติไม่ค่อยมีหิมะ แล้วหิมะพยายามจะตก (เช่น โตเกียวและนาโกย่า) จะหนาวทรมานมาก มันหนาวแสบ หนาวทะลุทะลวงไปถึงกระดูกดำอะ มันไม่ได้หนาวแบบอุนนุนละมุนละไมแบบเมืองหิมะอะ

โอเค วันสุดท้ายของการเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงเช้าไปจัดการภารกิจติ่งให้เสร็จก่อน นึกอะไรไม่ออกซื้อ Tokunai Pass ไว้ก่อน คุ้มไม่คุ้มค่อยว่ากันอีกที แต่ดูเหมือนจะคุ้มนะ ไม่แน่ใจว่าใช้อิท่าไหนแต่ใช้จนคุ้มได้อะ

 แม่น้ำเมกุโระวันนี้ มีน้องเป็ดมาว่ายน้ำเล่นด้วย อืมมมมม ขนเป็ดคงอุ่นจริงๆหละนะ
/me กระชับเสื้อขนเป็ดที่ใส่อยู่เข้าหาตัว

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 5 : Shibuya - Naka-Meguro

Shibuya - Naka-Meguro




คำเตือน: พาร์ทนี้ติ่งเยอะพอสมควร

หลังจากเที่ยวอย่างหนักมา 4 วัน มันก็ต้องเกิดอาการล้ากันบ้าง วันนี้เลยตัดสินใจไม่ตั้งนาฬิกาปลุก นอนให้เต็มที่ ตื่นสายๆไปเลย ตื่นมาก็เกือบเที่ยงแล้ว เลยรีบแต่งตัวออกไปข้างนอก ยืนเคว้งอยู่สักพัก แล้วก็ตัดสินใจไปชิบุยะก่อน มาโตเกียวแล้วรู้สึกอึนๆมึนๆแปลกๆ เหมือนไม่รู้จะไปทางไหนดี ไปถึงสถานีรถไฟเลยซื้อพาสไว้ก่อน


วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 4.3 : Sotetsu Fresa Inn Tokyo Kamata

Sotetsu Fresa Inn Tokyo Kamata





หลังจากนอนแบบกึ่งๆโฮสเทลกันมาสองที่แล้ว ที่พักที่สุดท้ายของเราคือ Sotetsu Fresa Inn Tokyo Kamata ค่ะ คราวนี้เป็นโรงแรมเต็มรูปแบบเลย ห้องเตียงแฝด 3 คืน 29,000 เยน ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้านะคะ ถ้ารวมจะแพงมาก หากินเองดีกว่า แต่ปกติก็ไม่กินมื้อเช้ากันอยู่แล้ว เลยไม่อะไรกันเท่าไหร่

พนักงานน่ารักมากค่ะ ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ดูแลดีตามสไตล์โรงแรมเต็มรูปแบบ พอเช็คอินเสร็จก็จะได้คีย์การ์ดมาคนละใบ คีย์การ์ดนี้จะใช้สแกนเข้าห้อง ประตูห้องจะเป็นระบบล็อคอัตโนมัติเมื่อปิด นอกจากนี้ยังจำเป็นต่อการขึ้นลิฟท์อีกด้วย คือหลังจากเข้าไปในลิฟท์แล้วต้องสแกนคีย์การ์ดก่อน ถึงจะกดชั้นได้ แล้วก็ได้ Amenity Kit มาคนละ 3 เซ็ต คือเท่ากับจำนวนคืนที่นอนเลย

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 4.2 : Train to Tokyo (from Takayama)

หลังจากเดินเล่นหาอาหารเช้ากินที่ตลาดกันแล้ว เราก็กลับไปเก็บของ เช็คเอาท์ เพื่อออกเดินทางต่อไปยังโตเกียวค่ะ


เราจองรถบัสไปโตเกียวรอบ 10.20 จากเว็บ Highway-buses ไว้ ตั๋วเที่ยวเดียวจากทาคายาม่าไปชินจูกุ ราคา 6,690 เยน เป็นการจองเฉยๆ ยังไม่ได้จ่ายเงิน เมื่อกดจอง ทางเว็บจะส่งเมล์ยืนยันการจองมาให้ เราต้องปริ๊นท์ใบจองและนำไปยื่นให้เคาน์เตอร์ที่ท่ารถ และจ่ายเงิน เพื่อทำการออกตั๋ว ก่อนเวลารถออกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

แต่.......ไม่ทันค่ะ orz
ด้วยความเหนื่อย ทำให้เราตื่นสาย ตลาดเช้าก็น่าสนใจเกินกว่าที่จะทำให้เรารีบเดินรีบกลับ แถมเรายังเจ็บขาอีก เลยทำให้เราไปไม่ทันรถค่ะ น่าจะช้าไป 5 นาทีได้มั้ง โชคดีที่ยังไม่ได้จ่ายเงินและออกตั๋ว โชคร้ายคือรถรอบอื่นๆเต็มหมดแล้ว เลยถามพนักงานว่ามีวิธีอื่นที่จะไปโตเกียวอีกมั้ย นางเลยบอกให้ไปขึ้นรถไฟค่ะ

โชคดีที่สถานีรถไฟอยู่ติดกับท่ารถ การเดินทางโดยรถไฟไปโตเกียว ต้องนั่งรถอย่างน้อย 2 ต่อ และมีราคาแพงกว่ารถบัส เพราะต้องขึ้นทั้งรถ Limited Express ทั้งชิงกันเซ็น ทีนี้เลยได้ลองขึ้นชิงกันเซ็นสมใจอยากเลยค่ะ


วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 4.1 : Morning Market in Takayama

ไฮไลท์อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดหากคุณได้มาเยือนทาคายาม่าก็คือตลาดเช้าค่ะ เหมือนจะมีอยู่ 2 ที่นะ แต่ที่เราไปเป็น Miyagawa Asaichi หรือตลาดเช้าริมแม่น้ำมิยะค่ะ จากที่พักเราเปิด Google Maps แล้วก็เดินตามนั้นไปเลยค่ะ ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เวลารีบๆ ก็ไกลใช้ได้เหมือนกันค่ะ ( ̄▽ ̄;)




วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 3.2 : K's House Takayama




ที่ทาคายาม่านี้ เราพักกันที่ K's House Takayama ค่ะ ห้องสำหรับ 2 คน 1 คืน ราคา 7,500 เยน เป็นเตียงแบบ 2 ชั้น แต่ดูดี ดูแข็งแรง ดูมั่นคงกว่าที่นาโกย่า และมีห้องน้ำในตัวด้วยค่ะ

Japan 1st Time part 3.1 : Takayama - Shirakawa-go

วันที่ 3 เราออกเดินทางจากนาโกย่าไปทาคายาม่ากันแต่เช้า ด้วยรถบัสของ Meitetsu Bus รอบ 7:30 ราคาตั๋วแบบเที่ยวเดียว คนละ 2,980 เยนค่ะ

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 2.2 : Nagoya Castle - Osu - Sakae

Nagoya Castle





เริ่มต้นจากสถานีนาโกย่า ขึ้น Subway สาย Sakura-dori ไปลงที่สถานี Hisaya-Odori เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย Meijo ไปลงที่สถานี Shiyakusho (City Hall) ซึ่งเป็นโซนที่ตั้งของปราสาทนาโกย่า


 Subway Sakura-dori Line

Japan 1st Time part 2.1 : Nagoya 2nd day

Nagoya 2nd day



 

เราตื่นกันประมาณ 8 โมง อากาศหนาวมาก บรรยากาศครึ้มๆเหมือนฝนจะตก เห็นคนส่วนใหญ่พกร่มกัน ในใจก็แอบคิดว่าถ้าหิมะตกก็คงจะดี แล้วสักพักก็รู้สึกเหมือนจะเห็นเกล็ดสีขาวๆ เล็กๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศ แว้บแรกก็คิดว่าเป็นเศษฝุ่นอะไรรึเปล่า แต่พอมันเยอะขึ้นก็เริ่มแน่ใจว่ามันคือหิมะ


วิวจากห้องพัก

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 1.5 : ชมวิวเมืองนาโกย่าที่ Sky Promenade ตึก Midland Square

กว่าเราจะเช็คอินเข้าที่พักกันก็มืดแล้ว วันนั้นมีฝนตกปรอยๆ อากาศไม่หนาวเท่าไหร่ (เหรอ?) เข้าห้องไปก็เพิ่ม Heattech Fleece คอเต่าของยูนิโคล่ไปอีกชั้น ท่อนล่างยังมีแค่กางเกงขายาวตัวเดียว ถุงเท้า และรองเท้าผ้าใบ เราไปตึก Midland กันตามที่แพลนไว้ ตึกนี้จะอยู่อีกฝั่งนึงของสถานีรถไฟ เดินไปได้สบายๆ นี่ก็มีโมเมนท์หลงบ้างอะไรบ้าง


ตึก Midland Square ชั้นล่างจะเป็นร้านค้าแบรนด์เนม อารมณ์แบบพวกเกษรพลาซ่าอะไรพวกนั้น ชั้นบนๆคิดว่าน่าจะเป็นออฟฟิศของบริษัทต่างๆ และภัตตาคาร (ที่ใช้คำนี้เพราะคิดว่ามันน่าจะหรูกว่าร้านทั่วไป) และชั้นบนสุดเรียกว่า Sky Promenade เป็นจุดชมวิว ค่าเข้าคนละ 750 เยน มีตู้กดตั๋วตรงทางขึ้นที่ชั้นอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ จำไม่ได้ ลิฟท์มีเป็น Low Zone กับ High Zone ต้องหาลิฟท์ High Zone ขึ้นไปชั้นขายตั๋วก่อนนะคะ ตรงทางเข้าจะมีพนักงานตรวจตั๋วยืนอยู่ ตั๋วที่เช็คแล้วจะได้ตราปั๊มสีแดงๆมา



Japan 1st Time part 1.4 : Eco Hotel Nagoya

เราอยู่ที่นาโกย่ากัน 2 คืนค่ะ โดยพักที่ Eco Hotel Nagoya ราคา 8,000 เยน สำหรับห้อง 2 คน 2 คืน


ที่พักอยู่ใกล้สถานีนาโกย่า มีเซเว่นอยู่ข้างๆ มีร้านอาหารอยู่รอบๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอิซากายะ (ร้านเหล้า) อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวอดตายค่ะ

ที่นี่จะคล้ายๆพวก hostel แหละค่ะ แต่ดีกว่าตรงที่มีห้องแยกให้ ไม่ต้องนอนรวมกับใคร เป็นห้องเดี่ยวมั่ง คู่มั่ง ห้องเล็ก ไม่หรู แต่ก็อยู่ได้สบายๆนะ




Japan 1st Time part 1.3 : Internet in Japan

Internet in Japan

 



เราซื้อซิมการ์ดสำหรับใช้ที่ญี่ปุ่นไปจากไทยฮะ เป็นซิมของ docomo เป็นแบบ Data only ใช้ได้แค่เน็ตอย่างเดียว โทรเข้าออกไม่ได้นะก๊ะ แบบ 7 วัน ราคาเต็ม 855 บาท (รวม VAT 7% แล้ว) เราซื้อช่วงโปร ซึ่งต้องเปิดใช้ก่อน 28 ก.พ. เหลือแค่ 427 บาท ใช้ 3G/4G ที่ความเร็วสูงสุดได้ 100 MB/วัน ถ้าเกินแล้วความเร็วจะลดลง(มั้ง?) ครบเที่ยงคืนจะนับเป็นอีกวัน ของเราใช้ 4G สัญญาณดี เน็ตเร็วดีทุกที่ ไม่มีปัญหา

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

Japan 1st Time part 1.2 : เข้าเมืองนาโกย่า จากสนามบิน Chubu

Arrival





และแล้วเราก็มาถึงสนามบินจุบุ (CHUBU) ณ นาโกย่ากันนะฮะ เป็นสนามบินริมน้ำ สวยดีทีเดียว ตอนแลนด์นี่แอบเสียวนิดๆ อย่างที่บอกไปตอนแรกว่ามันจะมี flight monitor ให้เราดูด้วย และพบว่าเครื่องบินต่ำมากจนแทบจะแตะน้ำอยู่แล้ว (ตอนลงที่นราธิวาสที่เป็นสนามบินริมทะเลเหมือนกันยังไม่ต่ำขนาดนี้) เหมือนพอเข้าเขตพื้นดินล้อก็แตะพื้นแทบจะทันที

อากาศวันนั้นเขาบอกว่ามีฝน แต่มาถึงแดดก็ออกแล้ว บรรยากาศดูร้อนๆเหมือนบ้านเรา แต่หนาวค่ะ ตอนเดินเข้างวง ด้วยความที่ไม่เคยมาเมืองหนาว ยังคิดกันอยู่เลยว่าเขาเปิดแอร์หรือเป็นเพราะอากาศข้างนอก



Japan 1st Time part 1.1 : การบินไทย สุวรรณภูมิ - นาโกย่า

เราเลือกบินกับการบินไทยไปลงนาโกย่าค่ะ เพื่อจะได้เดินทางไปทาคายาม่าง่ายๆ แล้วค่อยไปเที่ยวโตเกียวและออกทางฮาเนดะ ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ BKK - NGO/ HND - BKK ไปวันที่ 12 ก.พ. 58 กลับ 18 ก.พ. 58 เบ็ดเสร็จแล้วตกคนละ 16,905 แพงมั้ย? แล้วแต่คนมองนะคะ แต่เราโอเคค่ะ สำหรับสายการบิน Full Service และบินตรง

Blog Start!!

เปิดบล็อกจนได้ เปิดทั้งที่ยังงงๆอยู่นี่แหละ
บล็อกนี้เป็นบล็อกเกี่ยวกับ...อืมมมมมม อะไรดีล่ะ ไม่รู้สิ
จุดประสงค์ตอนนี้คือเปิดเพื่อบันทึกการเดินทาง แต่ในอนาคตจะเพิ่มอะไรมาอีกก็แล้วแต่อารมณ์

ไงๆก็ขอฝากตัวด้วยนะฮัฟ
Komayu